เพื่อไทยผวาถูกยุบ! หลังมีข่าว'ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์'ถกหาหัวหน้าพรรค

เพื่อไทยผวาถูกยุบ! หลังมีข่าว'ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์'ถกหาหัวหน้าพรรค

ผวาหนัก! "เพื่อไทย" หวั่นถูกยุบพรรค หลังมีข่าวแกนนำพรรคถก "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" หาตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ ชี้กฎหมายพรรคการเมืองห้ามคนนอกชี้นำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่มีกระแสข่าวนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินทางยังกรุงปักกิ่ง ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และได้มีแกนนำพรรค อดีตส.ส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย เดินพาไปพบเพื่อหารือในเรื่องของตัวบุคคลที่จะมาทำหน้าที่หัวพรรคเพื่อไทยคนต่อไป หลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาตลอดว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะมาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนต่อไป

โดยแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การเดินทางมากรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ของอดีตนายกฯทักษิณ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่จะเดินทางไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฮ่องกง ดูไบ สิงคโปร์ ทุกครั้งก็จะมีอดีตส.ส. แกนนำพรรค สมาชิกพรรค บินแวะเวียนไปเยี่ยมเยือน พบปะเป็นเรื่องปกติ เพราะนายทักษิณไปได้ทุกที่ยกเว้นประเทศไทย

โดยแหล่งข่าวกล่าวอีกว่า การเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้นัยยะทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะท่านเดินทางมาปกติอยู่แล้ว มาเยี่ยมเพื่อน มาหารือกับนักธุรกิจ และหากท่านจะมาเคลื่อนไหวทางการเมืองจริง ท่านก็ต้องมีการสัมภาษณ์สื่อ พูดคุยในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับการเมือง แต่ที่ออกมาตามหน้าสื่อ ก็เป็นเพียงภาพถ่ายเท่านั้น ส่วนภาพที่ปรากฎมีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ อยู่ด้วยนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะสมัยก่อน อดีตนายกฯทักษิณ อยู่คนเดียว แต่ขณะนี้มีอดีตนายกฯไปอยู่ด้วย จึงปรากฎภาพทั้งคู่ และคนไทยก็อยู่ทุกที่ในโลก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีผู้พบเห็น และถ่ายภาพมาได้และหากย้อนกลับไปดู ก็มีภาพนายกฯทักษิณปรากฎอยู่ สื่อโซเชียวมีเดีย ตลอดอยู่แล้ว เพราะเดินทางไปไหนมาไหน ทำอะไร ลูกสาวท่านก็ลงในอินสตราแกรมเป็นประจำ

แหล่งข่าวยังกล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่ว่าแกนนำพรรคอดีตฯส.ส.เดินไปหารือเพื่อกดดัน ไม่เอาคุณหญิงสุดารัตน์ เป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป ว่า คนที่ปล่อยข่าวนี้ ถือว่า เป็นการทำลายพรรคและไม่เข้าใจข้อกฎหมาย ขอยืนยันว่า อดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ท่านไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เป็นเรื่องของสมาชิกพรรค ที่รอวันที่คสช.จะปลดล็อกให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ เพราะในพ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 15 วรรคสาม ได้ระบุเรื่องนี้เอาไว้ชัด ว่า ให้พรรคต้องออกข้อกำหนดต่างๆ และต้องเขียนห้าม ไว้ด้วย ว่า ไม่ให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมือง ที่ทำให้พรรคหรือสมาชิกขาดความเป็นอิสระ

นอกจากนี้ยังมีมาตรา 28 ที่เขียนไว้ชัดเจน ว่า ห้ามให้พรรค ยินยอมหรือกระทำให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค เข้าควบคุม ครอบงำ ชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองลักษณะที่ทำให้พรรคกาารเมืองหรือสมาชิกพรรคขาดความเป็นอิสระ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และมาตรา 29 เป็นมาตรการที่ห้าม สมาชิกพรรค เข้าควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรค ซึ่งได้มีบทกำหนดโทษ ไว้ด้วยว่า หากใครที่ไม่เป็นสมาชิกพรรคแล้วมาจุ้นจ้านกิจกรรมของพรรคการเมือง ต้องโทษคุก 5-10 ปี ปรับ 1แสน หรือทั้งจำและปรับ รวมถึงต้องถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีและพรรคใดที่ทำผิด มีโทษถึงยุบพรรคการเมือง แล้วแกนนำพรรคหรืออดีต.ส.ส.จะไม่รู้กฎหมาย เดินทางไปหารือได้อย่างไร

รายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่มอดีตส.ส. ที่เดินทางไปพบกับนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในครั้งนี้ เป็นกลุ่มของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือ “เจ๊แดง” ขณะที่เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมากลุ่มของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ไปสัมมนาอยู่ที่เขาใหญ่เรื่องหลักสูตรพรรคการเมือง
ต่อเรื่องนี้ เมื่อเปิดดู พ.ร.ป.พรรคการเมืองแล้ว พบว่ากรณีดังกล่าว มีความสุ่มเสี่ยงที่จะกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 28 ว่าด้วยข้อห้ามให้พรรคการเมืองยินยอมให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค เข้าครอบงำ ชี้นำ หรือควบคุมกิจกรรมของพรรคการเมืองที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความเป็นอิสระ ซึ่งการยินยอมหรือการกระทำดังกล่าวกำหนดไว้ว่าไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยหากพรรคไม่ปฏิบัติตามและมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตราดังกล่าว จะถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบและหาพบความผิดจริง ต้องถูกยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมือง และคณะกรรมการบริหารพรรคต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคและกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบและผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งห้ามรวมตัวเพื่อจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือร่วมจัดตั้งพรรคการเมือง ในระยะเวลา 10 ปีนับตั้งแต่ที่พรรคการเมืองถูกยุบ

ขณะที่บุคคลภายนอกที่เข้ายุ่งเกี่ยวกับพรรคโดยไม่เป็นสมาชิกพรรค มีข้อห้ามเช่นกัน ระบุไว้ในมาตรา 29 ว่า ห้ามบุคคลที่ไม่เป็นสมาชิกพรรคเข้าควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคหรือสมาชิกขาดความเป็นอิสระ ทั้งนี้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยประเด็นดังกล่าวหากพบการฝ่าฝืนบุคคลต้องถูกตรวจสอบและหากพบพฤติกรรมที่ขัดกับมาตรา 29 บุคคลนั้นต้องถูกลงโทษจำคุก 5-10 ปี ปรับ 1แสน-2แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งบุคคลนั้น