บุกจับยึดยาไอซ์ล็อตใหญ่ครึ่งตันค่า840ล้าน ผงะยาบ้า7แสนเม็ดกว่า70ล้าน

บุกจับยึดยาไอซ์ล็อตใหญ่ครึ่งตันค่า840ล้าน ผงะยาบ้า7แสนเม็ดกว่า70ล้าน

ตร.วางแผนรวบกระเหรี่ยง บุกจับยึดยาไอซ์ล็อตใหญ่ครึ่งตันค่า840ล้านบาท ผงะยาบ้า7แสนเม็ดกว่า70ล้านบาท ส่งผ่านบริษัทขนส่งเอกชน "นิ่มซี่เส็ง" เป้าหมายส่งจ.สงขลา



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.อ.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.5 ร่วมกับ พล.ต.ต.ดาวลอย เหมือนเดช รอง ผบช.ภ.9, พล.ต.ต.พิทยา ศิริรักษ์ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบช.ภ.5 ได้ร่วมกับแถลงข่าว ผลการจับกุม ขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ได้ของกลางยาไอซ์ล็อตใหญ่ที่สุดที่เคยดำเนินการจับกุมในพื้นที่ ภาค 5 โดยมี ผู้ต้องหา 1 ราย คือนาย สุชาติ เทียนชัยพนา อายุ 56 ปี เป็นชาวเผ่ากะเหรี่ยง อยู่บ้านเลขที่ 18/2 หมู่ 3 บ้านป่าแหน ต.แม่คือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มีอาชีพเป็นคนขับรถรับจ้างสาธารณสี่ล้อแดง พร้อมของกลางยาไอซ์ซุกซ่อนในกล่องกระดาษเขียนอำพรางเป็นผลไม้แช่อิ่ม น้ำหนัก 20 กิโลกรัมต่อกล่อง จำนวน 28 กล่อง ร่วมน้ำหนักประมาณ 500 กิโลกรัม รวมมูลค่า กว่า 840 ล้านบาท โดยหากสามารถลำเลียงไปยังต่างประเทศ มูลค่าจะเพิ่มขึ้น 2- 10 เท่า และยังพบยาบ้าที่ซุกซ่อนมาในกล่องเดียวกับยาไอซ์อีก 700,000 เม็ด มูลค่ากว่า 70 ล้านบาท

พล.ต.อ.พูลทรัพย์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ตำรวจภูธรภาค9 ได้ทำจับการลำเลียงยาไอซ์ล็อตใหญ่ ที่หลุดไปในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ผ่านการลำเลียงมาผ่านบริษัทขนส่งเอกชน คือ บริษัท นิ่มซี่เส็ง จำกัด จำนวนหลายครั้ง โดยที่ผ่านมาพบว่าในจำนวน 3 ครั้ง ที่จับยาไอซ์ได้ครั้งละหลายร้อยกิโลกรัมนั้น มีลักษณะการบรรจุหีบห่อ คล้ายกันและลำเลียงผ่านบริษัทดังกล่าวเหมือนกัน และลำเลียงมาจากทางภาคเหนือ จึงได้มีการประสานบูรณาการความร่วมมือระหว่าง ตำรวจภูธรภาค9 และตำรวจภูธรภาค 5 โดยเมื่อวันที่10 ก.พ. ที่ผ่านมา ชุดสืบสวนทราบว่าจะมีการลักลอบขนยาไอซ์จำนวนมาก ส่งไปกับรถขนส่งบริษัทเอกชนดังกล่าว ที่ ต.ฟ้าฮ่าม อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อนำไปส่งที่ จ.สงขลา อีกครั้ง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นำกำลังไปเฝ้าสังเกตการณ์ ก็พบรถยนต์กระบะยี่ห้อ เชฟโรเล็กซ์ สี่ประตูสีเทา ใช้ทะเบียนอำพราง ตรงกับที่ได้รับแจ้งว่าเป็นคันต้องสงสัย ขับเข้ามาเจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ ผลปรากฏพบยาไอซ์บริสุทธิ์บรรจุไว้ในถุงกาแฟขนาด 1 กิโลกรัม ซุกซ่อนในกล่องบรรจุภัณฑ์ สีน้ำตาล จำนวน 28 กล่อง เขียนอำพรางแจ้งว่า เป็นกล่องบรรจุผลไม้แช่อิ่ม บรรทุกมาเต็มท้ายกระบะรถยนต์คันดังกล่าว รวมน้ำหนัก 560 กิโลกรัม (ไอซ์ 500 กก.-ยาบ้า 60 กก.)ซึ่งในแต่ละกล่องนั้นยังมียาบ้าบรรจุแทรกมาพร้อมกัน กล่องละ 1 มัด รวมทั้งสิ้น 700,000 เม็ดอีกด้วย ซึ่งการบรรจุหีบห่อของยาเสพติดทั้งยาไอซ์และยาบ้าดังกล่าว มีการบรรจุอย่างดี โดยระบบสุญญากาศ ทำให้ไม่มีกลิ่น และกันชื้น

ทางเจ้าหน้าที่ จึงได้ควบคุมตัวนาย สุชาติ ผู้ต้องหาไปสอบสวนขยายผล ตรวจค้นบ้านเลขที่ 18/2 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่คือ อ.ดอยสะเก็ดเชียงใหม่ พบบัญชีการเงินที่ผิดปกติ ผู้ต้องหารับสารภาพ ส่งมาแล้ว 3 ครั้ง ในครั้งล่าสุดนี้เป็นครั้งที่ 4 รวมน้ำหนัก 2 ตันกว่า ได้ค่าจ้างครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ นายสุชาติมีอาชีพรับจ้างขับรถสาธารณะสี่ล้อแดง แต่มีความขัดสนตลอด จึงหันเหมารับลักลอบลำเลียงยาเสพติด จนมีฐานะร่ำรวย และมาถูกจับในที่สุด โดยเชื่อว่า ยาเสพติดล็อตนี้ มาจากขบวรการยาเสพติดรายใหญ่ ชายแดนไทยเมียนมา มีเป้าหมายส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านชายแดนใต้ คือ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งจะมีมูลค่ามหาศาล โดยปัจจุบัน ยาไอซ์เริ่มเป็นที่ระบาดในกลุ่มคนวัยทำงานในประเทศเพื่อนบ้านและในประเทศไทยเอง มีสัดส่วนผู้เสพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่กลุ่มขบวนการมักจะแถมยาไอซ์ไปกับยาบ้าล็อตใหญ่ เพื่อสร้างตลาด แต่ปัจจุบันกลับเปลี่ยนเป็นการ แถมยาบ้า ไปพร้อมกับยาไอซ์แทน

ขณะที่ในช่วงหลัง 1-2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า กลุ่มขบวนการยาเสพติด นิยมหันมาลำเลียงผ่านระบบโลจิสติก โดยเฉพาะผ่านบริษัทขนส่งเอกชนรายใหญ่ บ่อยครั้งขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการประชุมระดับประเทศร่วมกับบริษัทขนส่งรายใหญ่ในการบูรณาการขอความร่วมมือ ในการตรวจตราและเข้มงวดในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมาย แต่ก็ยังพบว่า มีความหละหลวม ยังปรากฎยาเสพติดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสกัดจับระหว่างการเดินทางอยู่บ่อยครั้ง และแต่ละครั้งมักมีจำนวน ปริมาณมาก จากข้อมูลพบว่า ใน 7 ครั้งล่าสุด มียาบ้าถูกสกัดจับได้ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเม็ด หรือยาไอซ์ไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัมต่อครั้ง อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปทางเจ้าหน้าที่จะได้มีการกวดขันเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจสอบและตรวจสกัดให้มากขึ้น และเตรียมดำเนินการหามาตรการในการคุมเข้มบริษัทขนส่งเอกชน โดยเฉพาะ บริษัทนิ่มซี่เส็งขนส่ง โดยเฉพาะการสั่งปรับ หรือระงับการให้บริการต่อไปหากยังหละหลวม