ศาลฏีกาออก 'มาตรฐานจริยธรรม' กำกับองค์กรอิสระ-ส.ส.-ส.ว. ฝ่าฝืนลงโทษ

ศาลฏีกาออก 'มาตรฐานจริยธรรม' กำกับองค์กรอิสระ-ส.ส.-ส.ว. ฝ่าฝืนลงโทษ

"สราวุธ เบญจกุล" เลขาธิการศาลยุติธรรม เผยศาลฏีกาออก "มาตรฐานจริยธรรม" กำกับดูเเลศาล รธน.-องค์กรอิสระ-ครม.-ส.ส.และส.ว. ชี้ฝ่าฝืนถูกลงโทษ

ที่หรรษา คาชัวรินา จ.เพชรบุรี นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวบรรยายระหว่างเป็นประธานเปิดงานสัมมนาสื่อมวลชนศาลยุติธรรม กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ , องค์กรอิสระ , ผู้ว่าการตรวจเงินเเผ่นดิน ร่วมกันกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เเละผู้ดำรงตำเเหน่งในองค์กรอิสระ รวมถึงผู้ว่าการตรวจเงินเเผ่นดิน , หัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ เเละองค์กรอิสระต้องยึดถือปฏิบัติ ตามที่รัฐธรรมนูญฯ ใหม่ กำหนดไว้ว่า มาตรการนั้นถูกบังคับไว้ใน รธน.ปี 2560 มาตรา 219 ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องดำเนินการออกมาตรการนี้ภายใน 1 ปี ตาม รธน.กำหนด มิเช่นนั้นตุลาการเเละองค์กรอิสระที่อยู่ในบทบัญญัติจะต้องพ้นจากตำเเหน่ง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมาตรการดังกล่าวเเละได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 30 ม.ค.61 ซึ่งบุคคลที่จะอยู่ภายใต้มาตรฐานจริยธรรมดังกล่าว ประกอบด้วย ศาลรัฐธรรมนูญ เเละองค์กรอิสระ คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) , คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) , ผู้ตรวจการแผ่นดิน , กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ (กสม.) ซึ่งองค์การอิสระเหล่านี้จะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานจริยธรรมที่มีการกำหนดมา โดยนอกจากองค์กรอิสระเหล่านี้แล้ว คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งรวมถึง ส.ส. ส.ว.ก็จะตกอยู่ในมาตรฐานขอบเขตจริยธรรมตาม รธน.มาตรา 219 วรรคสองด้วย

นายสราวุธ กล่าวอีกว่า ถ้าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมนั้น บทลงโทษก็จะมีหมวดร้ายแรงและหมวดไม่ร้ายแรง ซึ่งในมาตรฐานจริยธรรมหมวด 1 ว่าด้วยเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ซึ่งข้อ 7 ระบุถึงต้องถือบทผลประโยชน์ของประเทศเหนือประโยชน์ส่วนตน ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่แสวงหาผลประโยชน์มิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือรู้เห็น ยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาผลประโยชน์มิชอบ หรือข้อ 9 ต้องไม่ขอเรียกร้บทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ และข้อ 10 การรับของขวัญ ของกำนัล เว้นแต่เป็นการให้โดยเสน่หา โดยธรรมจรรยาตามที่กฎหมายระเบียบบังคับที่ทำได้ โดยในหมวด 1 นั้นจะถือเป็นเรื่องผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายเเรง หากมีการละเมิด ส่วนหมวด 2 และหมวด3 จะเป็นเรื่องค่านิยมหลักและจริยธรรมทั่วไป ก็จะต้องดูว่าพฤติกรรมของผู้ฝ่าฝืนเป็นอย่างไร มีเจตนาและความร้ายแรงอย่างไร ถ้าเป็นเสียหายร้ายแรงก็อาจจะเป็นเรื่องผิดจริยธรรมร้ายแรงได้

เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวต่อว่า ตาม รธน.มาตรา 235 เรื่องฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม อาจมีการร้องเรียน และ ป.ป.ช.จะเป็นผู้ไต่สวน ส่วนคนที่จะพิพากษาว่าใครฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงคือศาลฎีกา โดยเมื่อกฎหมายกำหนดให้ศาลฎีกา มีอำนาจพิจารณา ทางสำนักงานศาลยุติธรรม จึงได้เสนอจัดทำร่างระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับกล่าวหาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเเละผู้ดำรงตำเเหน่งในองค์กรอิสระฯ ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายเเรงแล้ว ซึ่งร่างระเบียบดังกล่าว มีหัวข้อที่สำคัญหลายเรื่อง เช่น การกำหนดการเสนอเรื่อง , การพิจารณา และขั้นตอนในการออกคำสั่งต้องทำยังไงบ้าง ซึ่งหลายคนก็อาจสงสัยว่าหากศาลฎีกาไต่สวนแล้วผลจะเป็นอย่างไร รธน.มาตรา 202 (10) ก็กำหนดว่า หากเป็นบุคคลที่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ก็จะขาดคุณสมบัติและจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้การฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมบางครั้งอาจจะเข้าข่ายที่จะผิดตามกฎหมายอาญาควบคู่ไปด้วยได้ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องว่าไปตามกฎหมายมีการดำเนินการเเยกกัน เช่น การปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ร่ำรวยผิดปกติ

"ศาลยุติธรรม ต้องขอชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า สามารถออกมาตรฐานทางจริยธรรมภายในกรอบที่กำหนด ซึ่งต่อไปก็เป็นหน้าที่ของศาลฎีกา ของสำนักงานศาลฯ จะเสนอระเบียบต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งเรามั่นใจว่าจะดำเนินการทันโดยเราจะส่งเข้าที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาให้เร็วที่สุด" เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ระบุ

ทั้งนี้ในระหว่างการบรรยายได้เปิดให้มีการสอบถามข้อสงสัยว่า หากศาลฎีกาชี้ขาด เรื่องละเมิดมาตรฐานจริยธรรมแล้วจะอุทธรณ์ได้อีกหรือไม่ ซึ่งนายสราวุธ กล่าวว่า ไม่สามารถอุทธรณ์ได้ เนื่องจาก รธน. มาตรา 235 กำหนดไว้ว่า ให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณา ซึ่งการพิจารณาชี้ขาดก็คงต้องมีการตั้งองค์คณะขึ้นมา

เมื่อถามว่า หาก ป.ป.ช เป็นผู้ฝ่าฝืนจริยธรรม ใครจะเป็นผู้ไต่สวนคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา นายสราวุธ กล่าวว่า ก็ต้องมีการตั้งผู้ไต่สวนอิสระตาม รธน. ขึ้น เพื่อไต่สวนเหมือนกรณีอดีตป.ป.ช.เคยขึ้นเงินเดือนตัวเอง ก็มีคณะผู้ไต่สวนอิสระขึ้นมาดำเนินการเพื่อความเป็นธรรม

เมื่อถามอีกว่า การตั้งผู้ไต่สวนอิสระนั้น จะต้องเริ่มเรื่องจากรัฐสภาก่อน ในความเป็นจริงจะทำให้การดำเนินการกับ ป.ป.ช.ที่กระทำผิดเป็นไปได้ยากกว่าองค์กรอื่นใช่หรือไม่ นายสราวุธ กล่าวว่า สำหรับตนมองว่าไม่มีอะไรยาก เนื่องจากปัจจุบันสภาพสังคมมีระบบการตรวจสอบที่สูงมากในอดีตที่ผ่านมาก็พิสูจน์เเล้วว่าขึ้นเงินเดือนตัวเองก็ถูกเล่นงานได้ ขณะที่การร้องเรียนต้องมีหลักฐานปรากฏว่าสิ่งที่ ป.ป.ช.ดำเนินการนั้นฝ่าฝืนกฎหมาย หรือไม่สุจริต จึงจะสามารถดำเนินการได้ ส่วนการกำหนดมาตรฐานจริยธรรม ทำให้เราก็สามารถดูได้ว่ามีการฝ่าฝืนเงื่อนไขในข้อไหนก็อาจจะเข้าเงื่อนไขตรงนั้นได้เเละรวดเร็วกว่าคดีอาญา ซึ่งหาก ป.ป.ช.ถูกดำเนินการเรื่องมาตรฐานจริยธรรม ก็จะมีคณะผู้ไต่สวนอิสระที่ประธานศาลฎีกาเป็นผู้เเต่งตั้ง ทำหน้าที่ไต่สวนหาข้อเท็จจริงเเละทำความเห็นนำเรื่องขึ้นสู่ศาลฎีกา ซึ่งต่างจากในส่วนคดีอาญาที่จะต้องมีการเสนอผ่านรัฐสภาก่อน