‘สราวุธ’ ยันคดีเปรมชัยไม่ 2 มาตรฐาน

‘สราวุธ’ ยันคดีเปรมชัยไม่ 2 มาตรฐาน

"เลขาฯศาล" บอกต้องรอดูสำนวนสอบสวน-ข้อต่อสู้ ย้ำการแก้ไขกฎหมายเป็นปลายเหตุ สังคมควรตระหนักป้องกัน-จนท.รัฐ ไม่ควรรับคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง

เมื่อวันที่ 10 ก.พ.61 นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ในฐานะนักกฎหมายได้ ให้ความเห็นทางกฎหมายทั่วไป เกี่ยวกับการดำเนินคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารอิตาเลียนไทยและพวก ร่วมกันล่าสัตว์ป่า และข้อหาอื่นๆ ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 กรณีพบซากเสือดำ ไก่ฟ้า และเก้ง ภายในอุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่นเรศวร ว่าตามกระบวนการทางกฎหมาย ต้องพิจารณาสำนวนจากพนักงานสอบสวนว่ามีการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยระบุพฤติการณ์อย่างไร ว่าเป็นลักษณะผู้กระทำผิด ตัวการที่ร่วมรู้เห็น เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด หรือ อยู่ในเหตุการณ์ที่ร่วมสนับสนุน ยกตัวอย่างคดีสองบุคคลขี่รถจักรยานยนต์ ไปยิงผู้อื่นเสียชีวิต โดยคนซ้อนท้ายรถเป็นมือปืน ซึ่งคนขี่รถก็อยู่ในเหตุการณ์และพาไป ถ้าจะอ้างไม่รู้เห็นถือเป็นข้อต่อสู้ที่กล่าวอ้าง แต่ถ้าข้อเท็จปรากฎว่ามีส่วนร่วมก็อาจเข้าข่ายความผิดหากมีพฤติการณ์เป็นตัวการร่วม หรือ เป็นผู้ใช้ให้ทำ โทษจะเท่ากับมือปืน แต่หากเป็นผู้สนับสนุนโทษจะลดหลั่นลงมา ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคน ส่วนพยานหลักฐานที่ปรากฎทางสื่อ อาทิ ลักษณะการสวมใส่เสื้อผ้าเฉพาะ การเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ก็ถือเป็นพยานหลักฐานหนึ่ง

เมื่อถามว่าข้อกล่าวหาในคดีลักษณะนี้มีโอกาสที่ศาลจะพิจารณารอการลงโทษหรือไม่ นายสราวุธ ระบุเพียงว่าการพิจารณาคดีต่างๆ นอกจากพยานหลักฐาน ศาลจะดูพฤติการณ์ความร้ายแรง สภาพแวดล้อม สภาพสังคม ใช้ประกอบการพิจารณาด้วย ส่วนความเสียหายในคดีนี้อัยการสามารถยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากคดีอาญาได้ ซึ่งหน่วยงานรัฐถือเป็นผู้เสียหาย

ส่วนกระแสข่าวว่านายเปรมชัย เดินทางไปแนวชายแดน อาจเดินทางออกนอกประเทศ นายสราวุธ ระบุว่า นายเปรมชัย ได้รับการปล่อยตัวในชั้นฝากขังโดยไม่มีเงื่อนไขประกันตัวก็สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้แต่ในทุกคดีหากเห็นว่ามีพฤติการณ์ที่อาจหลบหนีพนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสามารถยื่นคำร้องต่อศาลขอกำหนดเงื่อนไขได้ แต่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล ขณะนี้ก็ต้องรอให้นายเปรมชัย มาตามนัดรายงานตัวครบกำหนดฝากขังครั้งแรกแต่หากไม่เดินทางมาโดยไม่มีเหตุผลสมควร ก็จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ การออกหมายจับ

ส่วนที่นักกฎหมายหลายคนมองว่าความผิดตามพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มีอัตราโทษไม่หนัก เทียบเท่ากับความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2559 เห็นว่ากฎหมายจะบังคับใช้โดยพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดี หากพบข้อบกพร่องในการบังคับใช้กฎหมาย ยกตัวอย่าง คดีคนเก็บของเก่านำซีดีมือสองไปวางขายมีความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนต์และวีดีทัศน์ พ.ศ.2551 ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นมีการกำหนดโทษปรับสูงถึงหลักแสนบาทจึงมีการกำหนดบทลงโทษให้มีความเหมาะสม

“บางครั้งเรื่องความรุนแรงของกฎหมาย ถ้าคนไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย มาตรการในการกำหนดโทษ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ป้องกันยับยั้งไม่ให้คนกระทำผิด ให้คนเกรงกลัวต่อการกระทำผิด แต่ทั้งนี้การจะแก้ไขกฎหมายก็จะต้องดูในระบบสากลด้วย ว่ามาตรฐารทั่วโลกเป็นระดับไหน มีมาตรการอย่างไรบ้าง ผมคิดว่ากฎหมายเป็นเรื่องปลายทาง สิ่งสำคัญก็คือคนในสังคมต้องตระหนักและเรียนรู้ก่อนว่าควรต้องช่วยกัน ถ้าคนในสังคมช่วยกันก็ย่อมดีกว่าการแก้ไขปัญหาทีหลัง สมมติว่าถ้ามีคนเข้ามาและมีท่าทางจะล่าสัตว์ โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ต้นให้ออกไปเรื่องจาเป็นเขตป่าจะมาล่าสัตว์ไม่ได้ เหตุร้ายก็ไม่เกิด เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต้องทำตามกฎหมาย หากผู้สั่งการ ใช้อำนาจสั่งการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่ต้องปฎิบัติตาม เพราะเป็นการสั่งโดยผิดกฎหมาย”

นอกจากนี้นายสราวุธ ระบุว่า ในการพิจารณาคดีของศาล จะบังคับใช้กฎหมายโดยเสมอภาค ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีฐานะอย่างไร ปฎิบัติเหมือนกันหมดไม่เลือกปฎิบัติ ไม่มีสองมาตรฐาน ขณะที่ในยุคปัจจุบันมีการใช้โซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งบทลงโทษทางสังคม หรือ โซเชียลแซงชั่น ก็มีผลแสดงต่อผู้กระทำด้วย เช่นหากเกี่ยวข้องกับเรื่องสินค้า คนในสังคมก็อาจเลือกไม่ใช่สินค้า