Daily Strategy (9 ก.พ.61)

Daily Strategy (9 ก.พ.61)

หวังว่าเจ็บแต่จบ

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : คาดกรอบดัชนีวันนี้ 1,753-1,800 จุด ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก จากความกังวลเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ล่าสุด U.S. Government Bond Yield อยู่ที่ 2.838% อยู่ระดับสูงเป็นวันที่สองแต่ยังไม่ทำระดับ New High ส่วน VIX Index อยู่ในระดับ 33.46 จุด ปรับขึ้นจากวันก่อน 27.73 จุด นอกจากนี้ ราคาน้ำมัน-ราคาถ่านหินปรับตัวลง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัว DXYO ที่ 90.248 จุด หลังจากแตะระดับสูงสุดที่ 90.567 จุด ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้น สัญญาณทั้งหมดบ่งบอกถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น คาดว่าหุ้นไทยปรับตัวลงได้ลึกและมีแนวโน้มปิด Rising Gap ที่ 1,753 จุด หรือ -1.8% เป็นระดับเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่เปิดทำการในแดนลบราว 1.5%-3.0% แนะนำ Selective Buy เลือกหุ้นที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากตลาดรวม เช่น GIFT, TICON, CHOW

 

หุ้นเด่นวันนี้: GIFT (ปิด 6.05 บาท, “ซื้อ”, AWS TP 7.25 บาท)

∙ GIFT มีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่น่าสนใจจาก Trading วัตถุดิบที่ผลิตเครื่องสำอางมาเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางประเภท Skin Care ภายใต้  Brand ตัวเอง คือ DE L’AMOUR, Lady Evil, และ หมูน้อย โดยวาง Position เป็นสินค้าระดับ Premium รูปแบบธุรกิจใหม่จะทำให้บริษัทมี GPM และ NPM ที่สูงขึ้น ผ่านช่องทางจำหน่ายสินค้ารูปแบบ MLM, Direct Sales และ Online คาดการณ์รายได้จากเครื่องสำอางจะเติบโตจากต่ำกว่า 100 ล้านบาทในปี 2561 ไปสู่ 300 ล้านบาทในปี 2563 แนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสม เท่ากับ  7.25 บาท ตามวิธี PEG ratio ที่ 1 เท่า บน PER เฉลี่ย 3 ปีข้างหน้าที่ 22 เท่า

∙    Price Pattern ของ GIFT มีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Weekly &Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ก็จะทำให้ Price Pattern ของ GIFT กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัว ซึ่งหาก Price Pattern ของ GIFT ปิดตลาดเหนือ 6.30 บาท จึงจะทำให้ Price Pattern ของ GIFT กลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ GIFT บ่งบอกว่าจะได้เห็นการทำ New High โดยมีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 8.25 บาทสำหรับแนวรับ-แนวต้านของ GIFT ในวันนี้เป็นดังนี้ (Resistance: 6.10, 6.15, 6.20; Support: 6.00, 5.95, 5.90)

ปัจจัยในประเทศ:

  • ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดยหลังจากนี้จะส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป (Posttoday)ความเห็น: โครงการ EEC มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
  • กระทรวงการคลังเตรียมเสนอกู้แสนล้านเตรียมลงทุนเพิ่ม กระทรวงการคลังเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีให้ปรับแผนการบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2561 ด้วยการกู้เงินชดเชยการขาดดุล หวังกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยสาระสำคัญจะมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณกลางปี 2561 เพิ่มเติมอีก 1 แสนล้านบาท ใช้สร้างรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง (Posttoday)ความเห็น: ส่งผลบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง โดยเราชอบกลุ่มวัสดุก่อสร้างมากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มเหล็ก เนื่องจากราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้น หลังจากกระทรวงพาณิชย์รายงานว่าเริ่มมีการกักตุนวัสดุก่อสร้างเพื่อรองรับงานก่อสร้างตามโครงการต่างๆ โดยเฉพาะ EEC
  • ROJNA อนุมัติการขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ใน TICONจำนวน 7 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.1% ให้แก่บริษัท เฟรเซอร์ส แอสเซ็ทส์ จำกัด (FAS) ในกลุ่มของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเบียร์ช้าง ในราคาหุ้นละ 17.90 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 8.57 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.61 (Infoquest) ความเห็น: ส่งผลบวกต่อหุ้น TICON
  • SCG พร้อมลุยโลจิสติกส์: SCG ตั้งเป้ารายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 10% เป็น 17,000 ล้านบาทในปี 2561 โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของอุปสงค์ด้านโลจิสติกส์ซึ่งจะมาจากโครงการลงทุนภาครัฐและศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของกลุ่มประเทศในอาเซียน(Bangkok Post) ความเห็น: โครงการภาครัฐเช่น EEC จะช่วยกระตุ้นการเติบโตในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัท

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ดาวโจนส์ปิดที่ 23,860.46 จุด ร่วงลง 1,032.89 จุด หรือ -4.15% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,581.00 จุด ลดลง 100.66 จุด หรือ -3.75% และดัชนี Nasdaqปิดที่ 6,777.16 จุด ลดลง 274.82 จุด หรือ -3.90% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนอย่างหนัก หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดในปีนี้ เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนจับการลงมติร่างกฎหมายงบประมาณของวุฒิสภาสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ หุ้นเทสลา ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 8.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 4/2560 ที่ระดับ 675 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.01 ดอลลาร์ต่อหุ้น

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมันดิบ: WTI ลดลง 64 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 61.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.61; เบรนท์ ลดลง 70 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 64.81 ดอลลาร์/บาร์เรลเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากอิหร่านประกาศแผนปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบ 700,000 บาร์เรล สู่ระดับ 4.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในอีก 4 ปีข้างหน้าและสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบและการผลิตน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
  • ราคาทองคำ: ราคาทองคำปิดบวกเพิ่มขึ้น 40 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,319 ดอลลาร์/ออนซ์ ดีดตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ หลังจากสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
  • ราคาถ่านหินร่วงแตะ 100.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน -1.85 เหรียญฯ หรือ -1.80%
  • ค่าระวางเรือ BDI อยู่ที่ 1,106 จุด +9 จุด +0.82%
  • ค่าการกลั่น: ล่าสุดยังร่วงต่ำกว่า 7 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล มาที่ 6.97 เหรียญฯ เป็นวันที่สอง หลังจากขึ้นไปและระดับสูงสุดเมื่อ 1 ก.พ.61 ที่ 7.87 เหรียญฯ อย่างไรก็ตามค่าการกลั่นเฉลี่ยดีกว่าเดือนก่อนที่อยู่ระดับราว 6 เหรียญฯ อย่างมากแนะนำนักลงทุนเริ่มหันกลับมามองธุรกิจโรงกลั่น ที่สำคัญคือ TOP, BCP, PTTGC แต่แนะนำหาจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว