คาดเงินสะพัดช่วงวาเลนไทน์-ตรุษจีนกว่า6หมื่นล้าน

คาดเงินสะพัดช่วงวาเลนไทน์-ตรุษจีนกว่า6หมื่นล้าน

"ม.หอการค้าไทย" เผยการใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้คึกคักคาดเม็ดเงินสะพัดกว่า 56,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.52% ส่วนวาเลนไทน์คาดเงินสะพัดกว่า 3,822.27 ล้านบาท

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้จะคึกคักมากกว่าเดิม คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 56,860 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่ 45.9% ระบุว่าจะซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่มูลค่าการใช้จ่ายสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น และสินค้าปีนี้แพงขึ้นด้วย ซึ่งการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนส่วนใหญ่ซื้อของเซ่นไหว้ รองลงมาไปทำบุญ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ให้แต๊ะเอีย ซื้อเสื้อผ้ารองเท้า และท่องเที่ยว ตามลำดับ

ทั้งนี้ มีการวางแผนไปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน ส่วนใหญ่ 76.3% ไม่มีการวางแผนท่องเที่ยว ส่วนอีก 23.7% วางแผนท่องเที่ยว โดย 85% จะเที่ยวในประเทศ เดินทางท่องเที่ยววันที่ 16 กุมภาพันธ์ และกลับวันที่ 18 - 19 กุมภาพันธ์ โดยเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวและไปกับครอบครัว ขณะที่อีก 15% จะไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว ซึ่งประเทศที่จะไปเที่ยวส่วนใหญ่ยังอยู่ในเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี

ส่วนเทศกาลวันวาเลนไทน์วันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 3,822.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.10% ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยส่วนใหญ่ 53.1% จะมีการฉลองในวันวาเลนไทน์ ส่วน 41.9% ไม่ฉลอง โดยการแสดงความรักส่วนใหญ่ 56.4% จะแสดงความรักกับคนรักรองลงมา 18.1% แสดงความรักกับพ่อแม่ และ 7.8% แสดงความรักกับเพื่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ประมาณ 2,395 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ 51.3% ยังคงซื้อของให้กันในปริมาณเท่าเดิม แต่มูลค่าสูงขึ้น เพราะส่วนใหญ่กว่า 53.6% เห็นว่าสินค้าแพงขึ้น เศรษฐกิจกิจดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ 12.4% ตอบว่ามูลค่าการใช้จ่ายลดลง เนื่องจากต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายและสินค้ามีราคาแพง ซึ่งใช้จ่ายส่วนใหญ่จะซื้อดอกไม้ รองลงมาเป็นเดินห้าง และซื้อของขวัญ โดยทั้ง 2 เทศกาลจะทำให้เงินสะพัดรวมกันมากกว่า 60,000 ล้านบาท มูลค่าสูงสุดในรอบ 10 ปี แต่ขยายตัวน้อยสุดรอบ 6 ปี ถือเป็นการเพิ่มสัดส่วนเศรษฐกิจโดยรวมอีก 0.3% ของจีดีพี แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่สูงแต่ก็เป็นช่วงที่ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว