กว่างโจว ความทรงจำในม่านหมอก

 กว่างโจว ความทรงจำในม่านหมอก

สัปดาห์ที่ผ่านมากรุงเทพฯปกคลุมไปด้วยม่านฝน ทำให้อดคิดไปถึงตอนที่ไปเที่ยวกว่างโจวในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาไม่ได้ ฟ้าไม่ใส ยามชมเมืองจากแคนตั้นทาวเวอร์เหมือนมีหมอกบางๆปกคลุม ให้อารมณ์สวยแบบเหงาๆแต่มีเสน่ห์ไปอีกแบบ

การเดินทางไปกว่างโจวเป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ นัดกันที่สุวรรณภูมิยามบ่ายมุ่งหน้าไปภูเก็ตแล้วบินตรงจากภูเก็ตด้วยสายการบินไทยสมายล์เที่ยวบินที่ WE696 เวลา 23.00 น.มุ่งหน้าไปยังสนามบินไป๋หยุน เมืองกว่างโจว อันเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของเส้นทางนี้ ทำให้อดรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในโอกาสพิเศษ

ระหว่างรอขึ้นเครื่องที่สนามบินภูเก็ต สังเกตเห็นสินค้าประเภทเครื่องสำอางแบรนด์ไทยที่คาดว่าคงได้รับความนิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังภูเก็ต สอบถามภายหลังกับไกด์จีนที่มาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเมืองไทย เธอบอกว่า “มิสทีน”นี่เป็นที่ถูกอกถูกใจมากๆ มิน่าแทบทุกร้านมีสินค้าแบรนด์นี้วางแน่น ทำให้คิดถึงตอนไปชอปปิงที่ฮ่องกงในร้านเครื่องสำอางก็มีมิสทีนวางจำหน่าย เห็นแล้วรู้สึกดีจัง

กว่าจะขึ้นเครื่องก็ดึกแล้ว แต่ไทยสมายล์ยังมีอาหารเสิร์ฟร้อนๆให้อิ่มก่อนจะได้หลับสบาย ใครที่ไม่ได้กินมื้อเย็นมาก็ไม่ต้องหิวไปทั้งคืน ส่วนเราจัดหนักอาหารใต้มื้อเย็นมาแล้วอย่างหรอยจังฮู้ เลยขอผ่านพนักงานต้อนรับจึงมอบของหวานตระกูลทอง ได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง พร้อมชาจีนร้อนๆเลยได้หวานๆก่อนนอนสบาย ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 4 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย

เช้าแรกที่กว่างโจว เราต้องล้างหน้าแปรงฟันที่ห้องน้ำภายในสนามบินไป๋หยุน ไปพลางๆระหว่างรอให้ถึงตี 5 เนื่องจากมีกฎของเมืองในช่วงมีกว่างโจวแฟร์ (งานแฟร์ยิ่งใหญ่อลังการจัดปีละ 2 ครั้ง) ห้ามรถบัสวิ่งในช่วง 02.00 -05.00 น. ดังนั้นจึงไม่ได้มีแต่พวกเราที่นั่งเล่นเดินสำรวจร้านค้าในสนามบิน ยังมีคนจีนที่นั่งล้อมวงเล่นเกมและสนทนากันอย่างครึกครื้น

กว่างโจว หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม กวางตุ้ง นอกจากมีกายกรรมกว่างโจวภาพจำในวันเด็กที่เลื่องชื่อแล้ว (แน่นอนว่าเราจะไปอัพเดตการแสดงแน่ๆแล้วจะเล่าให้ฟังตามลำดับ) ยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าอาหารอร่อย

มื้อแรกในเมืองนี้เราจึงได้ลิ้มรสชาติของติ่มซำท่ามกลางอากาศเย็นๆนิดๆแต่ไม่หนาวเพราะว่าเป็นเมืองชายทะเล ได้เห็นวัยรุ่น(ตอนปลาย)มานั่งสนทนาจิบชาร้อนๆที่มีกาน้ำชาตั้งบนเตาไฟขนาดเล็กๆให้เฉพาะตัว มาดูกันว่าดิฉันรับประทานอะไรเข้าไป

ที่ร้าน Dian Dou De โจ๊กเนื้อเนียนกับปาท่องโก๋ตัวโตๆ ขนมจีบ ซาลาเปา ทาร์ตไข่ มื้อนี้ไม่มีกาแฟ มีแต่ชาจีนร้อนๆ อิ่มแล้วหายง่วงพร้อมเดินทางชมเมืองกันเลย

กว่างโจว มีชื่อเรียกขานกันหลายชื่อ บ้างขนานนามว่าเป็น เมืองดอกไม้ เนื่องจากอากาศที่นี้ไม่หนาวจัด ไม่ร้อนจัด อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 22 องศาเซลเซียส ดังนั้นจึงมีดอกไม้บานทุกฤดูกาล โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิในเดือนมีนาคมดอกนุ่น ดอกไม้ประจำเมืองบานสะพรั่ง เหล่ากวีจึงเรียกขานว่าเป็นเมืองดอกไม้

น้องใหม่ – ไกด์สาวจีนที่มาเรียนมหาวิทยาลัยในบ้านเรา บอกว่าปกติที่เมืองนี้ไม่มีหิมะ เพราะว่าเป็นเมืองท่าตั้งอยู่ชายทะเล แต่ปี 2559 เกิดมีหิมะตก 1 วัน สร้างความตื่นเต้นไม่น้อย

นอกจากชื่อดอกไม้แล้ว กว่างโจวยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองแพะ จากตำนานเล่าว่าเดิมทีผืนดินที่นี่ทำการเกษตรไม่ได้ เพราะว่าเกลือจากทะเลทำให้ดินเค็ม ร้อนถึงเทวดา 5 องค์ จึงขี่แพะ 5 ตัว ลงมาจากสวรรค์ แล้วมอบเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่ชาวเมือง พร้อมอำนวยอวยพรให้รอดพ้นจากความอดอยาก จากนั้นก็หายตัวไปโดยแพะ 5 ตัวที่ขี่ลงมากลายเป็นหิน 5 ก้อน

เมล็ดข้าวและพรจากเทวดาทำให้ชาวเมืองกว่างโจวเจริญรุ่งเรือง จึงได้สร้างอนุสาวรีย์แพะ 5 ตัว คาบรวงข้าวจากสวรรค์ เป็นการแสดงถึงความขอบคุณ แพะ 5 ตัวจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมาจนถึงปัจจุบัน

เราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะกลางเมือง ชมอนุสาวรีย์แพะที่สร้างขึ้นด้วยหินแกรนิต 120 ก้อน ขนาดใหญ่โตสูงถึง 38 เมตร ระหว่างทางได้เห็นผู้สูงวัยพากันมาออกกำลังกาย ชวนกันเต้นรำตามจังหวะอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่อันร่มรื่น

ได้วอร์มแล้วออกเดินต่อที่จตุรัสฮัวเฉิง สำรวจศูนย์กลางแห่งใหม่ของเมืองที่รวบรวมอาคารสมัยใหม่ไว้มากกว่า 39 แห่ง บนพื้นที่ 560,000 ตารางเมตร

ใครชอบตึกมาตรงนี้จะเพลินมาก เพราะว่ามีรูปแบบสถาปัตยกรรมหลากหลาย อาทิเช่น กว่างโจวโอเปร่าเฮ้าส์ขนาดใหญ่ที่ติดอันดับสวยที่สุดในโลก ผลงานการออกแบบเหนือจินตนาการ โดยสถาปนิกชาวอังกฤษเชื้อสายอิรัก ซาฮา ฮาดิด ผู้สร้างสรรค์ผลงานแนว Neofuturistic ที่สะท้อนถึงโลกอนาคต มีขนาด 1,800 ที่นั่ง จัดเป็น 1 ใน 3 โอเปร่าเฮ้าส์ขนาดใหญ่ของจีน โดยอีก 2 แห่ง คือ โอเปร่าเฮาส์แห่่งชาติกรุงปักกิ่ง และโอเปร่าเฮ้าส์ที่เซี่ยงไฮ้

ใกล้กันเป็นหอสมุดแห่งใหม่ของกวางโจว เป็นอาคารสูง 9 ชั้น เก็บหนังสือได้ 4 ล้านเล่ม รวมทั้งให้บริการ ebook ภายในมี 6,110 ที่นั่ง มีจุดบริการข้อมูลกว่า 2 พันจุด มีผู้มาใช้บริการวันละกว่าหมื่นคน ตัวตึกออกแบบเป็นรูปหนังสือที่กางออก ด้านทางเข้ามีประติมากรรมรูปหนังสือเช่นกัน เห็นแล้วอยากเข้าไปชื่นชมข้างในมากๆ แต่ไม่มีโอกาส

เช่นเดียวกับตึกพิพิธภัณฑ์กว่างโจวที่อยู่ใกล้กัน ออกเป็นเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมสะท้อนถึงความทันสมัยและความเป็นศิลปะสมัยใหม่ ภายในกำลังจัดแสดงนิทรรศการศิลปะตะวันตกที่น่าสนใจ ได้แต่ยืนมองป้ายโฆษณาตาละห้อย ภายในที่ทั้งห้องแสดงงานศิลปะ ห้องสมุด ร้านกาแฟ น่ามาใช้เวลาที่นี่มากๆทีเดียว

ตกค่ำมาได้เวลาชมกายกรรมกว่างโจวที่คุ้นเคย จากความทรงจำวัยเด็กที่ตื่นตะลึงกับกายกรรมอันสุดสตรองและแสนจะหวาดเสียว คราวนี้ได้ชมโชว์ Chime Long International Circus การแสดงที่เป็นการผสมผสานระหว่างกายกรรมจีนและละครสัตว์แบบตะวันตก โดยนักแสดงชาวจีนและชาวตะวันตก ประกอบแสงสีเสียงภายในโรงละครขนาดใหญ่สุดอลังการ (ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรในจีนล้วนใหญ่โตโอฬารไปหมด)

กล่าวได้ว่าเป็นการแสดงที่ตื่นตา ตื่นเต้นทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความสามารถของนักแสดงที่สุดสตรองและแสนจะหวาดเสียว รวมไปถึงการแสดงของเหล่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นม้าที่วิ่งเข้ามาให้ชมกันกลางโรงละคร หมี แรด ลิง เป็ด ไก่ สุนัข ที่ยกขบวนกันมาเต็มพิกัดอีกทั้งฉากอันยิ่งใหญ่ ดูเพลินเต็มอิ่มทีเดียว

รุ่งขึ้นเราออกนอกเมืองไปยังภูเขาเหลียนฮัวซาน หรือ ภูเขาดอกบัว บนยอดเขามีเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมสูงเก้าชั้น สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ใกล้กันเป็นที่ประดิษฐานประติมากรรมเจ้าแม่กวนอิมหล่อด้วยทองเหลืองและทองคำสูง 41 เมตร หันพระพักตร์ไปสู่ทางออกทะเล เป็นเจ้าแม่กวนอิมที่ชาวจีนโพ้นทะเล ชาวจีนในประเทศ รวมทั้งหน่วยราชการร่วมกันบริจาคปัจจัยในการสร้างด้วยความศรัทธา ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นผู้คนเดินทางมากราบไหว้ขอพรอย่างมาขาดสาย

สวนอุทยานเป่าม่อ เป็นอีกจุดหมายที่นักท่องเที่ยวนิยมไป ถ้าไม่เร่งรีบเราสามารถอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันเลย เพราะว่าชอบในความร่มรื่น รวมทั้งยังมีประติมากรรมหินแกะสลักที่ละเอียดละออให้ชมหลายแห่ง อุทยานเป่าม่อ เดิมทีเป็นพระราชวังฤดูร้อนสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิงตอยปลาย มีเนื้อที่ 1 แสนตารางกิโลเมตร

ที่นี่มีความเป็นที่สุดอยู่ 2 สิ่ง ได้แก่ ผนังหินแกะสลักที่ใหญ่ที่สุด ยาว 22.38 เมตร และสูง 5.83 เมตร กับกำแพงประดับกระเบื้องที่มีความใหญ่เป็นที่สุดไม่แพ้กัน

ผนังหินแกะสลักนี้ ตั้งอยู่ตรงประตูทางเข้า ซึ่งจะต้องเดินข้ามสะพานเล็กๆแกะสลักหินเป็นลวดลายมังกร สัญลักษณ์ของฮ่องเต้ พลังอำนาจ และความศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ตรงกลางของผนังหินแกะสลักเป็นรูปนกฟีนิกซ์ นกที่ไม่มีวันตายความหมายถึงพลังของฮองเฮาที่อยู่เคียงข้างกับฮ่องเต้ แวดล้อมด้วยพันธุ์พฤกษา และสัตว์นานาชนิด แกะสลักอย่างมีรายละเอียดราวกับว่าความแข็งแกร่งของหินนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด

ส่วนกำแพงประดับกระเบื้องขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านในสุด เล่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนสมัยราชวงศ์ชิง รวมไปถึงฉากการขี่ม้า ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าในสมัยที่มีการแย่งชิงแผ่นดินกัน กำแพงถูกแย่งออกเป็นสองส่วนทำให้ภาพคนขี่ม้าถูกแยกออกจากกัน ต่อมาภายหลังเมื่อบ้านเมืองสงบกำแพงได้เชื่อมต่อกันดังเดิม แต่ยังคงร่องรอยของคนขี่ม้าที่รอยต่อกันได้ไม่สนิท

กว่างโจว วันวานมีประวัติศาสตร์นับถอยไปได้นานกว่าสองพันปี ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหมทางทะเล จากแม่น้ำจูเจียงออกไปยังฝั่งทะเลหนานไห่

ปัจจุบันกว่างโจว เป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง ที่เป็นศูนย์กลางของ เศรษฐกิจ การเมือง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษา และวัฒนธรรมที่สำคัญของจีน

“กว่างโจวไม่มีคนจน มีแต่คนขยัน ” น้องใหม่ ไกด์สาวจีนบอกกับเรา

“คนจีนในกว่างโจวส่วนใหญ่มาจากเมืองอื่น ในช่วงตรุษจีนกว่างโจวแทบจะเป็นเมืองร้าง เพราะทุกคนกลับบ้านกันหมด ”

น้องใหม่บอกว่าสินค้าที่ขายกันในบ้านเราเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์มาจากกว่างโจวแทบทั้งนั้น ส่วนสินค้าไทยที่ขายดีในเมืองจีนคืออะไร

ขนม ผลไม้แห้งจากเมืองไทย และเครื่องสำอางมิสทีน “เพราะคนจีนชอบดาราไทยมากค่ะ” น้องใหม่ตอบด้วยภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ

วันกลับเราต้องเดินเข้าสนามบินเช่นขามา เพราะยังคงอยู่ในช่วงห้ามรถบัสวิ่งเวลา 02.00 -05.00 น. เที่ยวบิน WE697 ออกเดินทางเวลา 05.15 น.ถึงสนามบินภูเก็ต 7.55 น. มีโอกาสแวะกินอาหารเช้าที่ภูเก็ตก่อนบินกลับกรุงเทพฯแบบไม่เร่งรีบ

จบบันทึกความทรงจำนี้แล้ว ไม่แคล้วไปกินติ่มซำให้คลายคิดถึงอีกสักหน่อย จิบน้ำชาร้อนๆด้วยคงจะดี