'ปปป.' หอบสำนวน 9 แฟ้มส่งอัยการ คดีโกงเงินทอนวัด

'ปปป.' หอบสำนวน 9 แฟ้มส่งอัยการ คดีโกงเงินทอนวัด

"ปปป." หอบสำนวน 9 แฟ้มคุม ผอ.กองพุทธฯ พศ.ส่งอัยการ คดีเงินทอนวัด 28 ล้านส่งอัยการ

เมื่อวันที่ 1 ก.พ.61 เวลา 14.00 น.ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.เพชรชุมพร ศรีวะรมย์ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) นำตัวนายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีสมคบกันฟอกเงิน ในคดีทุจริตโกงเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนา หรือเงินทอนวัด พร้อมหลักฐานเอกสาร 9 แฟ้มใหญ่ เดินทางมายื่นสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายนพรัตน์ เบญจวัฒนะ อดีต ผอ.พศ., นายฉัตรชัย, นายสมเกียรติ ขันทอง อายุ 53 ปี หรืออดีตพระครูกิตติพัชรคุณ เจ้าอาวาสวัดลาดแค และเจ้าคณะอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต

ขณะที่ นายวิเชียร ถนอมพิชัย อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต กล่าวภายหลังได้รับมอบสำนวนว่า คดีนี้มีผู้ร้องเรียนไปที่ ปปป.ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น จึงได้ทำการสืบสวนสอบสวนและมีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ได้ทำการส่งสำนวนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และยังได้แยกส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการทางแพ่งยึดอายัดทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับการฟอกเงินด้วย ซึ่ง ปปง. เมื่อได้รับสำนวนก็ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นคดีอาญาฟอกเงินต่อ ปปป.

สำหรับการพิจารณาสำนวนในชั้นของอัยการนี้ ก็จะตั้งคณะทำงานอัยการ ที่มีรองอธิบดีเป็นหัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งจะพิจารณาให้แล้วเสร็จและมีคำสั่งคดี ก่อนที่ผู้ต้องหาจะครบกำหนดฝากขังครั้งสุดท้าย (ครั้งที่ 7)ในวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.พ.นี้

ด้าน นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า สำหรับ นายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลบหนี ซึ่งพนักงานสอบสวนก็เสนอความเห็นสมควรสั่งฟ้องไว้พร้อมเห็นควรให้ออกหมายจับ ซึ่งคดีจะขาดอายุความในวันที่ 21 ม.ค.2579

ส่วน นายสมเกียรติ อดีตพระครูกิตติพัชรคุณ ผู้ต้องหาที่ 3 ตัวอยู่ในอำนาจควบคุมตัวชั้นฝากขังที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างฝากขังครั้งที่ 6 ที่จะครบกำหนดวันที่ 10 ก.พ.61 ก่อนจะขึ้นฝากขังครั้งที่ 7 อัยการ จึงจะมีเวลาพิจารณาสำนวนจนถึงวันที่ 22 ก.พ.นี้ ขณะที่ความเสียหายในคดีนี้ที่ปรากฏในสำนวน มีการกล่าวหาว่าเบียดบังจัดสรรงบประมาณของวัดต่างๆในเขต จ.เพรชบูรณ์ , นครสวรรค์ , ตากและชุมพร ราวๆ 28 ล้านบาท และเงินทอนที่ผู้ถูกกล่าวหาเบียดบังไป 21 ล้านบาทเศษ โดยถ้าตั้งคณะทำงานอัยการแล้ว เมื่อเป็นคดีสำคัญก็จะต้องเสนอผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน ดังนั้นขอให้ประชาชนเชื่อใจในความรวดเร็วละเอียดรอบคอบของอัยการ

โดย พ.ต.ท.เพชรชุมพร ศรีวะรมย์ พนักงานสอบสวน ปปป. กล่าวว่า เรื่องเงินทอนวัด ที่ ปปง.ร้องทุกข์กล่าวโทษไว้มีอยู่อีกหลายสำนวนซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อจะส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป อย่างไรก็ดีสำนวนคดีเงินทอนวัดที่มีข้าราชการ , อดีตข้าราชการ รวมทั้งพลเรือนและพระที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการพิจารณาชุดแรกได้ส่งสำนวนต่อ ป.ป.ช.นั้นยังมีผู้ต้องหาหลายสิบคน ที่จะทยอยส่งให้อัยการต่อไปด้วย