Daily Strategy (30 ม.ค.61)

Daily Strategy (30 ม.ค.61)

หาจังหวะเพื่อขายทำกำไรระยะสั้นออกไปก่อน

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: ดัชนีตลาดต่างประเทศเริ่มกลับสู่การพักฐาน ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะพักฐานตามไปด้วย แนวโน้มดัชนีวันนี้ 1,828-1,848 จุด ดังนั้นวันนี้ให้นักลงทุนระมัดระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เราแนะนำ Selective Buy เป็นรายตัว ในหุ้น IVL ซึ่งคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานเติบโตดีขึ้นในปี 2561-2562 เท่ากับ 60% และ 15% ตามลำดับจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นในกลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีสเปรดของธุรกิจดีขึ้นทุกประเภทอย่าง AJ, PTL และเริ่มมองธุรกิจสื่อที่มีโอกาสดีจาก  Rating ที่ดีขึ้นและได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง จากการซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ เช่น MONO, JKNและ แนะนำซื้อ PLANB จากการก้าวเข้าไปซื้อ BMN เข้าสู่ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านในระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT)

 

หุ้นเด่นวันนี้: IVL (ราคาปิด 56.75บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าของ AWS 63.00บาท)

  • IVL ผลประกอบการปี 2561จะถูกหนุนด้วยรายได้จากธุรกิจใหม่คือกิจการ BOPET และ Polyester ของ DTF ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ใน จีน สหรัฐฯ อังกฤษ และลักเซมเบิร์ก ส่วนใหญ่ของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ Commodity ดั้งเดิม ทำให้คาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นในปี 2561 เนื่องจากหันไปสู่การผลิตสินค้า High Value Added มากขึ้น
  • Price Pattern ของ IVL ยังคงมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ก็จะทำให้ Price Pattern ของ IVL กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัว โดยหาก Price Pattern ของ IVL สามารถปิดตลาดเหนือ 57.75 บาทได้สำเร็จ ก็จะทำให้กลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ IVL ยังคงบ่งบอกถึงการทำ New High โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 60 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 71.75 บาท ตามลำดับ (Resistance: 00, 57.25, 57.75; Support: 56.50, 56.00, 55.75)

 

ปัจจัยในประเทศ:

  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับประมาณการการเติบโต GDP ปี 2561 ขึ้นเป็น 2% จาก 3.8% นอกจากนี้ ได้ปรับคาดการณ์การเติบโตของส่งออกปีนี้ขึ้นเช่นกันเป็น 6.6% จาก 5.7% โดย สศค.คาดเศรษฐกิจจะได้ปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐและโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (บางกอกโพสต์) ความเห็น: เรายังคงมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจไทย โดยเราคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2561 จะเติบโต 3.8-4.0% และอาจมีแนวโน้มที่เราจะปรับเพิ่มประมาณการขึ้นอีก
  • รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์มองการลงทุนใน EEC สดใส โดยคาดว่ามูลค่าการลงทุนในปีนี้จะเติบโตสูงกว่าเป้าของรัฐบาลที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2 แสนล้านบาท (บางกอกโพสต์) ความเห็น: เราคาดเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและกลุ่มธนาคาร
  • SIRI:เผยแผนธุรกิจปี 2561 ก้าวแกร่งครั้งใหญ่สู่ "Tomorrow is Unfolded" ทุบทุกสถิติ New High ทั้งเป้ายอดขายและมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่ เปิดตัว 31 โครงการ มูลค่าถึง 63,200 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย Presales ปี 2561 ที่ 45,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเผยผลประกอบการปี 2560 ที่แข็งแกร่งน่าพอใจ จากยอดพรีเซลล์ 38,600 ล้านบาท เติบโต 24% จากปี 2559ความเห็น: ทิศทางอนาคตของ SIRI จะดีในปี 2562 เป็นต้นไป แต่ในปี 2561 จะเป็นปีที่ Backlog น้อยทำให้การรับรู้รายได้ในปีนี้น้อย นอกจากนี้มี Dilution Effect จากจำนวนหุ้นของ SIRI-W2 แปลงสภาพประมาณ 4% และแผนการซื้อสินทรัพย์ของ PACE ยังไม่ได้ข้อสรุป แนะนำเปลี่ยนตัวลงทุนจาก SIRI เป็น SC แทน เราอยู่ระหว่างปรับราคาเหมาะสมของ SIRI ใหม่
  • BEAUTY วางแผน 5 ปีขยายธุรกิจเพิ่ม: BEAUTY มีเป้าหมายการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 20% ต่อปีในแผนธุรกิจ 5 ปีซึ่งคาดจะได้รับแรงหนุนจากการขยายตลาดในต่างประเทศและการเติบโตจากช่องทางการจัดจำหน่าย (Bangkok Post) ความเห็น: แผนการขยายธุรกิจประกอบด้วยการจัดตั้งร้านค้าที่มีใบอนุญาตและช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่ายในรูปแบบของผู้ค้าปลีกแบบออฟไลน์และออนไลน์ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีการเติบโตในระยะยาว

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ:ดาวโจนส์ปิดร่วง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 716% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2557 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 2.954% สหรัฐฯ ทะยานขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลง 2.1% ของหุ้นแอปเปิล หลังจากสื่อรายงานว่า บริษัทแอปเปิล อิงค์ เตรียมปรับลดยอดขาย iPhone X นักลงทุนยังรอดูประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในวันที่ 30 ม.ค.เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าของวันที่ 31 ม.ค.เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย โดยหัวข้อการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสของปธน.ทรัมป์คือ "การสร้างอเมริกาที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และน่าภาคภูมิใจ" โดยจะเน้นหนักใน 5 ประเด็นหลัก ซึ่งได้แก่ การจ้างงานและเศรษฐกิจ, การก่อสร้างโครงการพื้นฐานของประเทศ, นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ, การค้า และความมั่นคงแห่งชาติ
  • ตลาดหุ้นยุโรป:ปิดลบโดยได้รับปัจจัยกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ดีดตัวขึ้น ซึ่งช่วยลดแรงลบของตลาดในระหว่างวัน หลังจากบริษัทเอเอ็มเอส เอจี ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของบริษัทแอปเปิล อิงค์ เปิดเผยผลประกอบการที่สดใส
  • ตลาดหุ้นลอนดอน:ปิดดีดตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินปอนด์ และจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่
  • ญี่ปุ่น:เผยอัตราว่างงานเดือนธ.ค.60 ปรับตัวขึ้นแตะ 8% จาก 2.7% ในเดือนพ.ย.60
  • ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ:แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักสำคัญ โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ รวมทั้งรายงานที่ว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญนั้น ปรับตัวสูงขึ้นในเดือน ธ.ค.

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมันดิบ: WTI ลดลง 58 เซนต์ หรือ 9% ปิดที่ 65.56 ดอลลาร์/บาร์เรลเบรนท์ ร่วงลง 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 69.46 ดอลลาร์/บาร์เรลจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ หลังจากมีรายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน
  • ราคาทองคำ:ร่วงลง 8 ดอลลาร์ หรือ 0.87% ปิดที่ 1,340.30 ดอลลาร์/ออนซ์เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้ความต้องการถือครองทองคำลดน้อยลง นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อคืนนี้
  • ดัชนีค่าระวางเรือ BDI ปิดวันทำการล่าสุดที่ 1,214.00 จุด ลดลง 5.00 จุด