หุ้นไทย “ไม่แพง” ถึง “จุดขาย” ลุ้น “ฟันด์โฟลว์” ดันดัชนีวิ่งต่อ...!

หุ้นไทย “ไม่แพง” ถึง “จุดขาย” ลุ้น “ฟันด์โฟลว์” ดันดัชนีวิ่งต่อ...!

4 ปัจจัยบวกดัน SET INDEX ทะยานต่อ ลุ้นสตอรี่ใหม่หนุน Fund Flow “กูรู” วิพากษ์ดัชนีหุ้น “ไม่แพง” ถึง “จุดขาย” ทำนายภาวะ “ตลาดกระทิง” ยังไม่จบไซเคิล เหตุพื้นฐานเศรษฐกิจโลกกำลัง Comeback  ฟันธง...! หุ้นไทย “ร้อนแรง” อีก 2 ปี

ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มต้นศักราชใหม่ด้วย ความร้อนแรง” เกือบทุกวันทำการ สอดคล้องกับตลาดหุ้นไทยด้วยที่สร้าง สถิติใหม่ แทบทุวัน หลังดัชนี SET INDEX ปรับตัวขึ้นไปทำ จุดสูงสุด (New High) เป็นครั้งแรกของปีที่ 1,791.39 จุด (เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่าน) นับเป็นจุดสูงสุดใน รอบ 24 ปี” ตั้งแต่ดัชนีหุ้นไทยเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดมาที่ ระดับ 1,789.16 จุด (เมื่อ 5 ม.ค.2537) 

ดัชนีหุ้นไทยทะยานขึ้นมาทุบสถิติสร้างประวัติศาสตร์ จุดสูงสุด ครั้งใหม่ตลอดเกือบทุกวันทำการช่วงเดือน ม.ค. ปัจจุบันทำ New High อยู่ที่ 1,838.96 จุด (24 ม.ค.) สร้าง จุดต่ำสุดใหม่ อยู่ที่ 1,778.53 (3ม.ค.) ยังมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 80,000 ล้านบาท ต่างจากในช่วงปี 7-8 เดือนแรกของ 2560 ที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ 30,000 ล้านบาทเท่านั้น…!

สภาพตลาดหุ้น คึกคัก เป็น กระทิงหนุ่ม ดึงดูดเงินนักลงทุนหน้าเก่า-ใหม่ ให้เข้ามาแสวงหากำไรในตลาดเงินตลาดทุนไม่ขาดสาย

แม้ภาวะตลาดหุ้นร้อนแรงเร็วมาก จนหลายคนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง !! ทว่า คนในแวดวงตลาดหุ้นยังมองว่า “เป็นสัญญาณที่ดี”!!

สะท้อนผ่าน ปัจจัยบวก ที่กำลังจะเข้ามา หลังจากผู้จัดทำดัชนียักษ์ใหญ่อย่าง MSCI ให้ความคิดเห็นเรื่องของนโยบายเรื่องภาษีของเกาหลีใต้ ซึ่งปัญหาสำคัญของเรื่องนี้คือนโยบายเรื่อง Capital Gain Tax ของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่กำลังจะเข้าสภาเร็วๆ นี้

หากนโยบายของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ออกมาล่าสุดผ่านสภา อาจทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้รับผลกระทบแบบเต็มๆ จากเงินทุนต่างชาติไหลออกนอกประเทศ หลังจากที่เม็ดเงินมหาศาลได้ไหลเข้าตลาดช่วงปีที่ผ่านมาสูง เกือบ 8,800 ล้านดอลลาร์ ถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่เงินไหลต่างชาติไหลเข้าอันดับต้นๆ ในเอเชีย ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้มีนักลงทุนต่างชาติอยู่ประมาณ 35%

สอดคล้องกับ ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ หรือ TISCO วิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้น ว่า ดัชนี SET INDEX เรียกว่า อยู่ในภาวะ กระทิง” (Bull Market) ในรูปแบบดัชนีขึ้นเร็วและแรงมาก ๆ เกินกว่าที่นักวิเคราะห์หลากหลายสำนักคาดการณ์ไว้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกน่าจะอยู่ที่ 1,800 จุดเท่านั้น

ทว่า เมื่อตลาดหุ้นไทยไปเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นนี้ เหล่านักลงทุนจึงเกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยถือว่า แพง ไปไหม? 

“กูรู” ไขข้อข้องใจว่า " ผมมองว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่แพงมาก และยังไม่ถึงจุดที่นักลงทุนต้องขายหุ้น” แม้ว่าตลาดหุ้นในแง่ของดัชนี SET index จะเหลือ อัพไซด์ (upside) ไม่มากแล้ว แต่ให้มา โฟกัสหุ้นรายตัว เชื่อว่ายังสามารถลงทุนได้อยู่

แม้ว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาเร็วมาก แต่ในแง่ของ กระแสเงินต่างชาติ” (Fund Flow) ในปัจจุบันยังไม่เข้าตลาดหุ้นไทย สะท้อนผ่านตัวเลขต่างชาติยังเป็นยอด ขายสุทธิ วันละหลัก พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันต่างชาติลงทุนในตลาดหุ้นไทยลักษณะการเข้ามา ซื้อเก็งกำไร มากกว่า โดยยังไม่ได้เข้ามาซื้อสะสม

การที่ Fund Flow ยังไม่ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย เขาวิเคราะห์ว่า เกิดจากการที่นักลงทุนต่างชาติ ต้องการรอดูความชัดเจนในเรื่องของความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ซึ่งในปี 2560 กำไร บจ. ของไทยเติบโตน้อยกว่าตลาดเพื่อนบ้านที่เติบโตเฉลี่ย 10% ขณะที่ของไทยเติบโตราว 5-6% แต่ในปีนี้ประเมินว่ากำไรของ บจ.ไทยจะเติบโตได้ ระดับ 10%” ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน

ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนกว่า 10% ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน แต่ในแง่ของกำไร บจ.เติบโตน้อยกว่าโดยบจ.ไทยเติบโต 5-6% ขณะที่บจ.ตลาดเพื่อนบ้านโตระดับ 10% แสดงว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาเกิดจาก P/E ที่สูงขึ้น

ประกอบกับ นักลงทุนต่างชาติ ชื่นชอบ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งตอนนี้ตลาดหุ้นไทยไม่มีหุ้นประเภทดังกล่าว อย่างในตลาดหุ้นสหรัฐ มีหุ้นประเภทอินโนเวชั่น อาทิ Facebook ,หุ้น Google ,หุ้น Amazon เป็นต้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาหุ้นดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 50% ขณะที่ในประเทศจีน หุ้นประเภทดังกล่าวปรับตัวขึ้นมากว่า 70-80% เช่น หุ้น Alibaba เป็นสิ่งสะท้อนว่านักลงทุนต่างชาติชอบหุ้นประเภทดังกล่าว 

ทว่าตลาดหุ้นไทยไม่มีหุ้นประเภทนี้ เราไม่มีหุ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจใหม่ เรามีแต่หุ้นที่เป็นเศรษฐกิจเก่า

กูรูตลาดทุน บอกอีกว่า สำหรับปัจจัยบวกที่บ่งชี้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะกระทิงในปีที่ 10 นี้ มีอยู่ “4 ข้อหลัก 

ประเด็นแรก เศรษฐกิจโลก ปี 2561 ถือว่าเศรษฐกิจโลกดีสุดในรอบ 10 ปี หรือ ดีที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ที่ดีขึ้น เช่น “ดอยซ์แบงก์” มีมุมมองว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเติบโตราว 3.8% เท่ากับปีก่อน และ “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” (IMF) ประเมินเศรษฐกิจโลกปีนี้เติบโต 3.9% และยังสำรวจประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตมากกว่าปีก่อน ซึ่งพบว่าปี 2560 มีจำนวนประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตกว่า 120 ประเทศ หรือ คิดเป็น 3 ใน 4 ของประเทศเติบโตของโลก

 “หากย้อนไปดูตัวเลขปีก่อนพบว่าน่าจะเป็นปีแรกตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ไม่มีเศรษฐกิจประเทศไหนเข้าสู่ภาวะถดถอย จากเดิมที่เศรษฐกิจบางประเทศ หรือ บางภูมิภาคมีเศรษฐกิจถดถอย และในปีนี้จะไม่มีเลยที่ภาวะเศรษฐกิจจะถดถอย ถือว่าเป็นการเติบโตแบบกระจายตัวแล้ว

ฉะนั้น เศรษฐกิจโลกเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในแง่ของการลงทุน เมื่อเศรษฐกิจดี ย่อมหมายความว่า กำลังซื้อ กลับมา และบ่งชี้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นจะมีพื้นฐานที่ดีขึ้นตามไปด้วย

ทว่า เมื่อมี ด้านดี ก็ต้องมี ด้านลบ สิ่งที่ตามมาเมื่อเศรษฐกิจโลกร้อนแรงเกินไปคือ ความเสี่ยง” ที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นเร็วและแรง ซึ่งทุกครั้งที่เห็นดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นเร็วและแรงและไปแตะจุดที่สำคัญเมื่อไหร่ ตลาดหุ้นจะจบ “ไซเคิล” ของตัวเอง แต่ตอนนี้ผ่านมาปีที่ 10 แล้ว ยังไม่พบสัญญาณ เศรษฐกิจโลกโตเร็วเกินไป” (Global Blue Market) แม้ว่าหลายๆ เศรษฐกิจเหมือนจะมีท่าทีเติบโตเร็วเกินไป เทียบกับศักยภาพของการเติบโต

ยกตัวอย่าง ตลาดยุโรปที่มองว่าจะเติบโตเกินกว่าศักยภาพค่อนข้างมาก เพราะว่าศักยภาพยุโรปประเมินว่าน่าจะเติบโตราว 1.5% แต่ปีก่อนเติบโตราว 2% กว่าๆ และปีนี้ก็น่าจะเติบโตใกล้เคียงปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีสัญญาณบางเล็กน้อย เมื่อเศรษฐกิจเติบโตเกินกว่าศักยภาพอาจจะนำมาสู่เงินเฟ้อ และหาเงินเฟ้อกับมาเร็วและแรงก็จะทำให้ดอกเบี้ยปรับขึ้นเร็วและแรงเช่นกัน 

หากมองเศรษฐกิจโลกตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณเศรษฐกิจโลกเติบโตเร็วเกินไป ถือเป็นข้อดี” 

ประเด็นสอง ตลาดหุ้นโลกอยู่ในภาวะกระทิง เห็นชัดเจนจากตลาดหุ้นสหรัฐ ที่ตอนนี้ปรับตัวขึ้นมาเร็วและแรงตลอด 10 ปี วัดจาก ดัชนี S&P 500” ที่ขยับขึ้นมาแตะ 3,000 จุด หรือ 300% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นที่แรงและต่อเนื่อง ถือเป็นตลาดหุ้นเดียวหากเทียบกับตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการขึ้นของดัชนีต่อเนื่องและไม่มีการลดลงเกิน 25% ในแต่ละปี และลักษณะกราฟดัชนี SET index ขึ้นเป็นเส้นตรงไม่มีแตะเบรก ขณะที่ตลาดหุ้นไทยและยุโรปดัชนีปรับขึ้นมาก แต่ปรับฐานประมาณ 2-3 ครั้งต่อปี

ดังนั้น เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐ ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง ตลาดหุ้นอื่นๆ ก็ยังวิ่งไปต่อได้ หากย้อนไปในอดีตตามสถิติในตลาดกระทิงสหรัฐฯ เฉลี่ย 30 ปี พบว่าตลาดหุ้นสหรัฐ จะขึ้นติดต่อกันรอบละ 5 ปี แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐ ขึ้นติดต่อกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว ฉะนั้น นักลงทุนเกิดอาการกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้จะลงทุนยังไงดี

เขายังประเมินว่า ภาวะตลาดกระทิงครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีต เพราะว่าปัจจุบันระบบการเงินโลกมี สภาพคล่อง มาก แม้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะประกาศการลดงบดุลเดือนละ หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ว่าสหภาพยุโรป และประเทศญี่ปุ่น ยังคงอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing - QE) ในการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งเงินมากกว่าสหรัฐ 

คาดว่าในอีก 2 ปีหน้า (2561-2562) ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วง ขาขึ้น คาดว่ายุโรปและญี่ปุ่นจะหยุดเงิน QE ปลายปีนี้ ฉะนั้น ปีนี้สภาพคล่องยังขึ้นอยู่ แม้ดอกเบี้ยขึ้นมาแล้ว แต่ถือว่ายังไม่สูงมาก

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งตัวช่วย นั่นคือ เงินจาก ตลาดพันธบัตร ที่จะไหลออกจากตลาดหากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ช่วงที่ผ่านมาเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดพันธบัตร ราว 70-80%” และเข้าตลาดหุ้น 20-30% แต่หากดอกเบี้ยขึ้นนักลงทุนจะไม่ทิ้งเงินไว้ในตลาดพันธบัตรแล้ว ฉะนั้น ปีนี้จะได้ตัวช่วยคือสภาพคล่องยังขึ้นอยู่จากเงิน QE ส่วนปี 2562 ตลาดหุ้นจะได้ตัวช่วยคือเงินที่จะไหลออกจากตลาดพันธบัตรเข้าสู่ตลาดหุ้น

มองว่าปีนี้ลงทุนในตลาดหุ้นยังไม่น่าห่วงเท่าไหร่ หุ้นยังเป็น Assets class ที่น่าสนใจเขาย้ำ

ประเด็นสาม เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ทิศทางเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตมากกว่าปี 2560 สะท้อนผ่านตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ขยายตัว ระดับ 4%” และปีนี้จะเห็นตัวเลขจีดีพีเติบโตระดับ 4% ขึ้นไป และหากรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าขึ้นมาได้กำลังซื้อของทั้งประเทศไทยก็จะฟื้นตัวขึ้น เพราะว่าที่ผ่านมาจะเห็นว่าเกิดการฟื้นตัวแบบกระจุกตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจเติบโตใน ภาคส่งออกและท่องเที่ยว ค่อนข้างมาก 

ขณะที่การอุปโภคบริโภคยังไม่ค่อยฟื้นเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าปีนี้น่าจะดีขึ้นซึ่งเชื่อว่าปีนี้ในแง่ของเศรษฐกิจไทยน่าจะไปได้ไม่ค่อยหน้าห่วงมาก รวมทั้งดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ

ประเด็นที่สี่ หุ้นไทยยังอยู่ในขาขึ้น” ตอนนี้ถือว่าตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้น แต่อัพไซด์เหลือไม่มาก มองว่าแม้ SET index จะเหลืออัพไซด์ไม่มาก แต่เชื่อว่ายังลงทุนได้เพียงแต่ว่าอย่าโฟกัสที่ SET index แต่ให้มองหุ้นรายตัว เพราะว่าสภาพคล่องในตลาดยังมี และดอกเบี้ยต่ำ 

ในปีที่แล้วตลาดหุ้นมี “รีเทิร์น” (ผลตอบแทน) ประมาณ 10% และในปีนี้ตลาดหุ้นไทยเงินต่างชาติยังไม่ไหลเข้าตลาดหุ้น

เขา บอกว่า ในปีนี้เชื่อว่าตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นต่อ นั่นคือ Fund Flow โดยมีประเด็นสนับสนุนเรื่องการเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่เลื่อนออกไปไม่กี่เดือนตลาดหุ้นยังรับได้ แต่หากเลื่อนออกไปนานตลาดหุ้นได้รับผลกระทบแน่นอน

จากเดิมมองว่าตลาดหุ้นไทยจะ พีทสุด ของปีนี้ช่วงกลางปี และคาดว่าจะปรับฐานลงก่อนเลือกตั้ง แต่ล่าสุดวันเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไป กลายเป็นว่าปลายปีนี้มีโอกาสเห็น SET INDEX เกิน “1,900 จุด เริ่มเห็นสัญญาณสูงขึ้นแล้ว เพราะปลายปีนี้ยังมีสตอรี่เรื่องการเลือกตั้งปีหน้าเข้ามา 

สุดท้าย “กูรูตลาดทุน” ทิ้งท้ายว่า แม้ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะกระทิงเป็นปีที่ 10 แต่อยากให้นักลงทุนเตือนตัวเองเสมอว่า การลงทุนหุ้นไม่ง่าย เหมือนตอนตลาดกะทิงอยู่ในปีที่ 2 หรือ 3 เพราะตอนนี้อัพไซด์ตลาดหุ้นเหลือน้อยลงแล้ว 

ดังนั้น "การลงทุนต้องระมัดระวังความเสี่ยง"

-------------------------

เงินต่างชาติ

เข้าตลาดเงินทั้งเอเชีย

วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า สำหรับ เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่ไหลเข้ามาในช่วงนี้เข้ามาแบบกระจายในประเทศแถบเอเชีย ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น เป็นเพราะสถานการณ์การเมืองต่างประเทศไม่แน่นอน โดยปัจจุบันมีเม็ดเงินเข้ามาทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตรราว 6 พันล้านดอลลาร์

ส่วน ค่าเงินบาท มีแนวโน้มผันผวนสูง ปัจจัยส่วนใหญ่มาจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงิน ไม่ใช่เฉพาะเงินบาทแข็งค่า แต่เงินวอน , เงินริงกิต ก็มีแนวโน้มแข็งค่ามากเช่นกัน จึงแนะนำให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน

แม้ว่าในปีที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งตามคาด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกันปัจจัยในประเทศที่ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเกือบ 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 10% ของจีดีพี เนื่องจากไทยมีเงินตราต่างประเทศเข้ามามาก ทั้งจากการ ภาคส่งออกและการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ธปท.จะดูแลค่าเงินบาทไม่ให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไปกระทบกับการทำธุรกิจของภาคธุรกิจจริง (Real Sector)

นอกจากนี้ คาดว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2561 ธปท. จะออกประกาศการจัดตั้ง Banking Agent ที่จะช่วยทำหน้าที่แทนสาขาที่ลดลงไปตามสถานการณ์ที่มีใช้เทคโนโลยีมากขึ้นแทน ซึ่งธนาคารพาณิชย์จะแต่งตั้ง Banking Agent เป็นตัวแทนสถาบันการเงินในการให้บริการ ซึ่งจะทำหน้าที่รับฝากถอนเงินสด และรับชำระค่าบริการต่างๆ

วิรไท บอกต่อว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ปิดสาขาเป็นจำนวนมาก เพราะต้นทุนการให้บริการแต่ละสาขาเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้ทำให้ต้นทุนถูกลง เป็นประโยช์ต่อประชาชน เช่น บริการพร้อมเพย์ ปัจจุบันมี 7 แสนรายต่อวัน จากที่เปิดให้บริการมา 1 ปี มีการใช้มากขึ้น ซึ่งทดแทนการใช้เงินสดได้ 

นอกจากนี้จะมีบริการใหม่ ๆ ที่เชื่อมต่อระบบพร้อมเพย์มากขึ้น เชื่อมโยงธุรกรรมการซื้อขายสินค้าได้

"เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว เราอาจจะเห็นธนาคารพาณิชย์มีรูปแบบใหม่ อาจจะให้บริการเป็นจุด ๆ ซึ่ง ธปท.เตรียมออกประกาศ Banking Agent มีคนให้บริการเป็น Agent ของธนาคารให้กับประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล ซึ่งจะให้บริการประชาชนและลดต้นทุนของธนาคารได้"

ส่วนการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำนั้น ผู้ว่าธปท. ระบุว่า ในหลายจังหวัดมีอัตราค่าจ้างสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว และการปรับขึ้นค่าแรงมีผลต่อเงินเฟ้อไม่มาก