ค้าปลีกแจงปรับค่าจ้างดันต้นทุนเพิ่ม 1.6-2.2%

ค้าปลีกแจงปรับค่าจ้างดันต้นทุนเพิ่ม 1.6-2.2%

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ระบุปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ดันต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่ม 1.6-2.2% กระทบหนัก “รายย่อย-เอสเอ็มอี” หวั่นขาดเงินสดหมุนเวียนพุ่ง 18% แนะรัฐเร่งคลอดมาตรการระยะสั้น-ระยะ

กรณีอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่กำหนดให้ปรับขึ้นเป็น 308-330 บาท ต่อวัน หรือเฉลี่ย 315.97 บาทต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ในช่วง 300-310 บาทต่อวัน หรือเฉลี่ย 305.44 บาทต่อวัน ส่งผลให้ค่าแรงขั้นต่ำ ปี 2561 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.6%  มีผลต่อต้นทุนผู้ประกอบการค้าปลีกเพิ่มขึ้น 1.68-2.25%

นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2561 ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  สำหรับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีพนักงานเกิน 500 คนขึ้นไป จากเดิมอัตราค่าแรงอยู่ที่ 300 -500 บาท  ตามข้อกำหนดใหม่ค่าแรงขั้นต่ำขยับขึ้นเป็น 308-330 บาทต่อวัน ทำให้องค์กรต้องปรับเพิ่มค่าแรงเพิ่มอีก 5-22 บาท (จากฐาน 300 บาท) และปรับค่าแรงขึ้นตามขั้นบันได ส่งผลให้องค์กรธุรกิจนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 3.39 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมอัตราเพิ่มสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมอีก 11.83% กองทุนเงินทดแทนอีก 1.87% และ กองทุนส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการอีก 58,035 บาทต่อคน

อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีนี้เป็นการปรับขึ้นตามแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากันทั่วประเทศ โดยมีการจัดกลุ่มจังหวัดแบ่งค่าแรงขั้นต่ำเป็น 7 ระดับ ต่างจากปีก่อนที่แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ซึ่งการปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้ ส่งผลให้ค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.6% และส่งผลกระทบใน 4 ประเด็นสำคัญ  ประเด็นแรก  ปัญหาขาดแคลนแรงงานในพื้นที่เมืองหลวงเนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่ย้ายกลับภูมิลำเนาของตนเอง  

ประเด็นที่สอง ปัญหาค่าจ้างแรงงานรายชั่วโมงเพิ่มสูงขึ้นโดยการจ้างพนักงานพาร์ทไทม์ 4 ชั่วโมง จะมีต้นทุนถึงชั่วโมงละ 77-82.50 บาท (กฎหมายกำหนดค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายวัน การจ้างพาร์ทไทม์ เพียง 4 ชั่วโมง ก็ต้องจ่ายค่าจ้างเต็มวัน)

ประเด็นที่สาม ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากค่าจ้างแรงงานอาทิ เงินสมทบต่างๆ กองทุนประกันสังคม กองทุนเงินทดแทน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนคนพิการ เป็นต้น  สุดท้าย ประเด็นที่สี่ ผลกระทบต่อโครงสร้างค่าจ้างแรงงานทั้งระบบทั้งในแง่ของการปรับค่าแรงของตำแหน่งงานที่สูงขึ้นไป 

“ค่าแรงของตำแหน่งงานที่สูงขึ้น แม้จะจ่ายค่าจ้างเกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำแล้ว แต่ก็ต้องปรับ เพื่อให้มีช่วงห่างของค่าจ้างที่เหมาะสม รวมไปถึงการจ้างแรงงานที่ต้องใช้ทักษะและฝีมือในการทำงาน ก็ต้องปรับให้สูงขึ้นกว่าค่าแรงขั้นต่ำด้วยเช่นกัน”

ต้นทุนแรงงานพุ่งกระทบหนักรายย่อย

ในส่วนของธุรกิจค้าปลีก จากเดิมที่อัตราค่าจ้างแรงงานพื้นฐานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6-9% ต่อยอดขาย แต่ตามข้อกำหนดใหม่ ธุรกิจค้าปลีกจะมีค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอีก 2% บวกกับเงินสมทบประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น 10% และเงินกองทุนทดแทนที่เพิ่มขึ้นอีก 1.83% รวมอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 11.83%  ส่งผลให้อัตราค่าจ้างพนักงานพื้นฐานใหม่กลายเป็น 7.09-10.64% ต่อยอดขาย หรือเพิ่มขึ้น 1.68-2.25% ของยอดขาย หมายความว่าผู้ประกอบการจะต้องมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 8.61-13.33% เพื่อที่จะมีกำไรไปจ่ายค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น (ขึ้นกับอัตรากำไรของแต่ละธุรกิจ)

ทั้งนี้ยังไม่นับรวมถึงจำนวนพนักงานปัจจุบัน พนักงานพาร์ทไทม์ พนักงานว่าจ้างภายนอก (Outsource) แม่บ้าน พนักงานรักษาความปลอดภัย และพนักงานซับคอนแทรค (Sub Contract) อื่นๆ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 10-15% ของพนักงานประจำทั้งหมด และมีแนวโน้มที่จะทำเรื่องเจรจาขอปรับเพิ่มค่าแรงด้วยเช่นกัน

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรธุรกิจต่างๆ อาจมีความแตกต่างกันไปตามพื้นฐานของแต่ละบริษัท โดยธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สามารถจ่ายค่าจ้างแรงงานเกินอัตราขั้นต่ำที่กำหนดไว้ อาจยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักในระยะแรก 

ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากที่สุด  และจะมีผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจ เนื่องจากต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น ประการสำคัญ คือ การขาดเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งผู้ประกอบการอาจจะขาดเงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้นถึง 18% ต่อปี

แนะรัฐหนุนมาตรการช่วยเหลือ

ทั้งนี้ สมาคมฯ มีข้อเสนอภาครัฐเพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคการค้าและบริการที่ใช้แรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจร้านอาหาร ที่ส่วนใหญ่จะจ่ายค่าจ้างโดยอ้างอิงกับอัตราค่าแรงขั้นต่ำ รัฐต้องออกมาตรการระยะสั้นในการช่วยเหลือเงินทุนหมุนเวียน จัดหาดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำภายในประเทศ  

“ค้าปลีกค้าส่งรายย่อยได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มธุรกิจอื่นๆ ด้วยทางเลือกที่จำกัดในการนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงาน หากภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถนำค่าจ้างแรงงานทั้งหมดไปลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 เท่า อาจช่วยบรรเทาภาระต้นทุนบางส่วนได้”

ขณะเดียวกัน ควรกำหนดให้ออกกฎกระทรวง ประกาศค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงอย่างถูกกฎหมาย เพื่อเพิ่มการจ้างงานผู้สูงอายุ และการจ้างงานพาร์ทไทม์ รวมไปถึงการส่งเสริมการจ้างงานในระบบทวิภาคี และ สหกิจศึกษาอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางธุรกิจ