คาดหุ้นไทย 'ปรับขึ้น' รับแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน

คาดหุ้นไทย 'ปรับขึ้น' รับแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุ "หุ้นไทยวันนี้" มีสัญญาปรับขึ้นต่อเนื่อง อานิสงส์ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นสอดรับสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง

ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผย Investment theme วันนี้ คงคำแนะนำ Let profit run ตราบใดที่ SET ยังสามารถเลี้ยงตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันได้  โดยเราแนะแบ่งเงินส่วนหนึ่งเข้ามายังกลุ่มปันผลเช่น PTTGC, LH, SF, TISCO  และคงคำแนะนำทยอยสะสมหุ้นเล็กอย่าง INGRS, ATP30 และหุ้นขนาดกลางอย่าง SPCG

ปัจจัยบวกหลักมาจาก เมื่อคืนที่ผ่านมา สต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง -1.071 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาดที่ -1 ล้านบาร์เรล , ขณะที่ สอท.รายงานยอดส่งออกรถยนต์เดือนธ.ค.เติบโต 11.28% ที่ 95,834 คัน ส่งผลให้ยอดรวมทั้งปีที่ 1.13 ล้านคัน (-4.1%YoY) พร้อมตั้งเป้ายอดผลิตปี 2561 ที่ 2 ล้านคัน เติบโต 2.5% YoY

โดยวานที่ผ่านมาตลาดปรับตัวขึ้นเด่น โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายมีแรงซื้อเด่นในกลุ่มพลังงานนำโดย PTT, PTTEP ในขณะที่หุ้นขนาดกลางบางตัวเริ่มมีแรงซื้อนำโดย SPCG , HMPRO, TASCO, TKN, TTCL และ PRM  อย่างไรก็ตามพบแรงขายในกลุ่มโรงกลั่นอย่าง TOP, BCP, SPRC, SPRC, และ ESSO ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ระดับ 1,838 จุด   (+7.1 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงกว่า 6.0 หมื่นล้านบาท  ลดลงเมื่อเทียบกับวันก่อนที่ 7.8 หมื่นล้านบาท  

นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่สองที่ 232 ล้านบาท และเปิดสถานะ Long SET50 index future อีก 4,061 สัญญา

ปัจจัยสที่ต้องจับตาต่อเนื่องคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ภายหลังคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) มีมติเห็นชอบแก้กฎมาตรา 2 ให้กฎหมายการเลือกตั้งส.ส.มีผลบังคับใช้ 90 วันภายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งหากสนช.เห็นชอบนั่นหมายถึงโอกาสของการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปประมาณ 90 วันเป็นช่วง 1Q62 มีค่อนข้างสูง

โดยฝ่ายวิจัย วิเคราะห์ออกเป็น 2 ส่วนดังนี้ 1) ผลกระทบต่อตลาดหุ้น ในสายตา นักลงทุนต่างประเทศค่อนข้างจำกัด เพราะนับตั้งแต่วันที่นายกประยุทธ์ประกาศวันเลือกตั้ง (10 ตุลาคม) พบว่านักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิสูงกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท กล่าวคือนักลงทุนต่างประเทศไม่ได้ให้น้ำหนักประเด็นนี้มาตั้งแต่ต้นแล้ว อย่างไรก็ตาม 2) เราคาดผลกระทบคือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่วางแผนเข้าลงทุนในเขตระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) คาดมีส่วนทำให้ชะลอการตัดสนใจเพื่อรอดูความชัดเจน และ timeline ของการเลือกตั้ง