SCC - ซื้อ

SCC - ซื้อ

ภาพระยะสั้นดูไม่ดีนัก

เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2561 ลง 12% เพื่อสะท้อนมุมมองเชิงลบที่เรามีต่อธุรกิจเคมีและเซเมนต์มากขึ้น ส่งผลให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2561 ของเราลดลงมาอยู่ที่ 580 บาท จากเดิม 620 บาท อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองที่ว่า SCC เป็นหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการเล่นรับเงินปันผล แม้แนวโน้มกำไรจะเป็นขาลงจนถึงกลางปี 2561 เราเชื่อว่าบริษัทจะยังจ่ายเงินปันผลที่ 19 บาท/หุ้น สำหรับการดำเนินงานปี 2560 และ2561 คิดเป็นอัตราเงินปันผลสูงถึง 3.8%

กำไรมีแนวโน้มเป็นขาลงจนถึงกลางปี 2561

ผลประกอบการไตรมาส 4/60 จะไม่น่าตื่นเต้น เราคาดกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสดังกล่าวที่ 1.21 หมื่นล้านบาท ลดลง 2.7% YoY แต่สูงขึ้น 2.6% QoQ โดยกำไรธุรกิจซีเมนต์ที่จะโตขึ้น YoY จากอัตราการดำเนินงานของโรงงานซีเมนต์แห่งใหม่ที่สูงขึ้นนั้น จะไม่สามารถกลบผลกระทบจากกำไรของธุรกิจเคมีที่จะชะลอตัว YoY และจากค่าเงินบาทเทียบกับดอลล่าห์ที่แข็งตัวขึ้นได้ ทั้งนี้กำไรอาจลดลงต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2561 เนื่องจากกำไรของธุรกิจเคมีมีแนวโน้มเป็นขาลงตลอดทั้งปี 2561 ขณะที่เราอาจยังไม่เห็นการเติบโตในธุรกิจซีเมนต์จนถึงครึ่งหลังของปี 2561

แนวโน้มกำไรของธุรกิจซีเมนต์ยังคงอ่อนแอ

อุปสงค์ซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มลดลงราว 1-2% ในไตรมาส 4/60 เนื่องจากความต้องการใช้ซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากการหดตัวของความต้องการใช้ซีเมนต์เพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยได้ ทั้งนี้การใช้ซีเมนต์เพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยคิดเป็น 50% ของอุปสงค์ซีเมนต์รวมในประเทศ อย่างไรก็ตาม เราคาดกำไรธุรกิจซีเมนต์จะเติบโต 80% YoY และ 7% QoQ ในไตรมาส 4/60 หนุนโดยการขาดทุนที่ลดลงของโรงงานปูนซีเมนต์ใหม่ในอาเซียน สำหรับปี 2561 นั้นเราคาดอุปสงค์
ซีเมนต์ในประเทศจะฟื้นตัวได้บ้างหนุนโดยการบริโภคโดยรวมที่ฟื้นตัว และมีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น แต่อัตรากำไรมีแนวโน้มหดตัวเนื่องจากบริษัทอาจไม่สามารถปรับเพิ่มราคาขายขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นได้ อีกทั้งยังมีความท้าทายจากปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ อุปทานที่ล้นตลาดและการแข่งขันในประเทศเพื่อนบ้านที่รุนแรงขึ้น

กำไรธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในขาลง

ธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้วในครึ่งแรกของปี 2560 และดูเหมือนว่าภาพกำไรจะเป็นขาลงต่อเนื่องจนถึงครึ่งหลังของปี 2561 โดยหลักๆมาจากผลิตภัณฑ์สาย PE ที่ชะลอตัว โดยส่วนต่างราคา HDPE เทียบกับแนฟทาเฉลี่ยลดลง 11 ดอลลาร์/ตัน QoQ มาอยู่ที่ 659 ดอลลาร์/ตัน ในไตรมาส 4/60 และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ในช่วง 600-650 ดอลลาร์/ตันในปี 2561 เนื่องจากมีอุปทานใหม่จากอเมริกาเข้ามาในตลาดโลก ขณะที่ผลิตภัณฑ์สาย PP ก็อ่อนตัวลงในไตรมาส 4/60 เช่นกัน โดยส่วนต่างราคา PP เทียบกับแนฟทาเฉลี่ยอ่อนตัวลง 54 ดอลลาร์/ตัน QoQ มาอยู่ที่ 625 ดอลลาร์/ตัน เนื่องจากราคาแนฟทาพุ่งขึ้นแรงแต่ราคา PP ยังปรับขึ้นได้ช้ากว่า แม้สาย PP ในปี 2561 มีแนวโน้มดีกว่าปี 2560 เนื่องจากอุปสงค์ทรงตัวและอุปทานใหม่เข้ามาน้อยลง ปัจจัยนี้อาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยธุรกิจสาย PE ที่อ่อนตัวลงได้