ชี้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจไม่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ

ชี้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจไม่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ

"ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์" ชี้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นไปตามทิศทางเดียวกับภูมิภาคอาเซียน ชี้อาจไม่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อถ้าการจ้างงานยังซบเซา

ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ (EIC) เปิดเผยว่า คณะกรรมการค่าจ้างประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำแยกตามกลุ่มจังหวัด 7 กลุ่ม ตั้งแต่ 5-22 บาท ทำให้ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 315.97 บาทต่อวัน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2561 ทั้งนี้ ได้พิจารณาการปรับเพิ่มจากอัตราค่าจ้างเดิมในแต่ละจังหวัด ซึ่งเกณฑ์พิจารณามาจากอัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจรายจังหวัด

ทั้งนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำปรับขึ้นเฉลี่ยราว 3%YOY หลังจากการปรับในครั้งนี้ กลุ่มจังหวัดที่จะมีค่าจ้างขั้นต่ำสูงที่สุด ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี และระยอง โดยขยับมาอยู่ที่ 330 บาทต่อวัน ขณะที่กลุ่มจังหวัดที่ค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุด ได้แก่ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ขยับมาอยู่ที่ 308 บาทต่อวัน สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะถูกปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปอยู่ที่ 325 บาทต่อวัน ทั้งนี้ จะมีแรงงานทั้งสิ้นประมาณ 12% ของจำนวนแรงงานทั้งหมดที่จะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ โดยจะส่งผลให้ค่าจ้างสำหรับแรงงานกลุ่มดังกล่าวขยับขึ้นราว 3%YOY ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นที่ใกล้เคียงกับการปรับเพิ่มในครั้งก่อนเมื่อเดือนมกราคม 2017

การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน ประเทศในอาเซียนส่วนใหญ่อยู่ในช่วงของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ โดยฟิลิปปินส์มีการประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อเดือนตุลาคม 2560 เฉลี่ย 4.5%YOY ทั่วประเทศ ในขณะที่เวียดนามและกัมพูชามีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำต่อเนื่องทุกปี ประมาณ 5%YOY และ 9%YOY ตามลำดับ ขณะที่อีกหลายประเทศก็มีแผนที่จะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปีนี้ ได้แก่ ลาวและเมียนมาที่กำลังพิจารณาที่จะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เฉลี่ย 33%YOY และ 25%YOY ตามลำดับ

อีไอซีมองว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอาจไม่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของครัวเรือนถ้าการจ้างงานยังซบเซา ค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นในรอบนี้ที่ราว 3%YOY ถือเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อปี 2018 ที่อีไอซีคาดการณ์ที่ 1.1%YOY ทำให้ค่าจ้างที่แท้จริงจะปรับเพิ่มขึ้นซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มกำลังซื้อระดับฐานรากที่น่าจะได้รับประโยชน์โดยตรง อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อของคนกลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงจากสภาวะการจ้างงานที่ซบเซา โดยในปี 2560 แม้ค่าจ้างขั้นต่ำจะถูกปรับเพิ่มขึ้นราว 2%YOY แต่จำนวนการจ้างงานแรงงานกลุ่มนี้กลับลดลง 2.2% โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานที่ทำงานล่วงเวลาและรายได้เฉลี่ยต่อวันลดลง ทำให้กำลังซื้อในภาพรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นตามการปรับเพิ่มของค่าจ้าง การขึ้นค่าจ้างในช่วงที่ความต้องการแรงงานลดลงถือเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อตลาดแรงงานที่ยังไม่ฟื้นตัว

สำหรับด้านต้นทุนแรงงานของไทยจะเพิ่มขึ้น แต่ในอัตราที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แม้ว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลให้ต้นทุนด้านแรงงานไทยให้สูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับการปรับเพิ่มค่าจ้างของประเทศในภูมิภาคอาเซียนแล้วถือว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ในทางกลับกันช่องว่างระหว่างค่าจ้างขั้นต่ำของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการที่ประเทศต่างๆ มีนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานในอัตราที่สูงกว่า ดังนั้น ต้นทุนด้านแรงงานของไทยที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้จะไม่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันมากนัก อย่างไรก็ตาม ค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานไทยในปัจจุบันยังคงสูงสุดในภูมิภาคที่ประมาณ 9.5 – 10 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน หลังการปรับขึ้น ตามมาด้วยฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ที่ 8 และ 7.6 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน ตามลำดับ