'บล.กสิกรฯ' ปรับเพิ่มเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,835 จุด

'บล.กสิกรฯ' ปรับเพิ่มเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,835 จุด

"บล.กสิกรไทย" ปรับเพิ่มเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,835 จุด จากเดิม 1,800 จุด หลังเศรษฐกิจขยายตัวดีต่อเนื่อง

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า บริษัทปรับเพิ่มเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 61 เป็น 1,835 จุด จากเดิมที่ 1,800 จุด หลังเศรษฐกิจในประเทศเติบโตต่อเนื่อง และจะมีการเลือกตั้ง ช่วยหนุนเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าลงทุน ชี้หุ้นกลุ่มแบงก์น่าสนใจลงทุนมากสุด ยอดปล่อยสินเชื่อโต ค่า P/E และ P/BV ต่ำ

ทั้งนี้ บริษัทปรับวิธีการกำหนดเป้าหมาย ดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยวิธี bottom up approach ซึ่งเป็นวิธีที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงราคาเป้าหมายของหุ้นแต่ละบริษัทได้ชัดเจนที่สุด ทำให้เป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1835 จุด คิดเป็น Forward PER ที่ 16.4 เท่า ซึ่งถือว่ามี P/E ที่สูง แต่เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวดีที่สุดในรอบหลายปี สถานการณ์ทางการเมืองที่จะมีความชัดเจนขึ้นหลังการเลือกตั้ง จะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศกลับมาลงทุนในตลาดไทยอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า เศรษฐกิจในประเทศจะมีโอกาสขยายตัวถึง 4.0% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ดีต่อเนื่องจากปี 2560 ประกอบกับสถานะทางการเงินของประเทศที่แข็งแกร่ง ตัวเลขการเกินดุลบัญชีและการค้าที่คาดว่าจะสูงถึง 7.7% และ 5.8% ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงถึง 45.2% ของ GDP และ หากประกาศ พ.ร.บ. EEC ได้ในเดือน ก.พ.นี้ จะเป็นปัจจัยทำให้กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ซึ่งหากเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าชัดเจน มีโอกาสทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1,976 จุดได้ แต่หากไม่มีการเลือกตั้ง คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวต่ำกว่า 1,700 จุด ได้ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนการเลือกตั้งได้ภายในไตรมาส 1/61

"ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ขึ้นมาอยู่ที่ระดับกว่า 1,800 จุด นั้นถือว่ามีความแข็งแรง จากมีปัจจัยสนับสนุน ซึ่งเศรษฐกิจโตดี ดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลการค้าเกินดุล ทุนสำรองของประเทศอยู่ระดับที่สูง ซึ่งตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นช้า ทำให้โอากสที่เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนได้ และยิ่งหากประกาศพ.ร.บ. EEC และมีความชัดเจนเลือกตั้งยิ่งทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามากขึ้น "นายประกิต กล่าว

อย่างไรก็ตาม คาดว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าลงทุนสุด เพราะ ปัจจุบันมี P/E ที่ต่ำ เพียง 10 เท่า และมี P/BV ที่ต่ำ เพียง ด้านมุมมองต่อลุ่ม 1.1 เท่า และจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้การลงทุนและการบริโภคที่มีแนวโน้มดีที่สุดในรอบหลายปี จะส่งผลให้เกิดความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ โดยคาดกำไรหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง โต 10 % หรืออยู่ที่ 2.25 แสนล้านบาท

นอกจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มีความน่าสนใจแล้ว กลุ่มหุ้นที่อิงกับประเด็นการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศและมี Upside ที่สูงกว่าตลาดรวม และ สูงกว่าหุ้นอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน จะเป็นหุ้นที่เป็นเป้าหมายในการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างประเทศอีกด้วย หุ้นกลุ่มดังกล่าว ได้แก่ STEC , TICON , BBL , ROBINS , CPN , BEAUTY , ORI และ TRUE

"ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงนั้น ถือว่าเป็นไปตามที่บริษัทคาดที่เพิ่ม 3.4 % ส่งผลทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจค้าปลีก หุ้นที่จะได้ประโยชน์ จึงอยู่ในกลุ่มค้าปลีก และจากปีนี้เป็นปีการเฉลิมฉลองรัชกาลใหม่ทำให้มีการจัดอีเว้นท์ต่างๆ มากขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มค้าปลีกเช่นกัน " นายประกิต กล่าว