Daily Strategy (18 ม.ค.61)

Daily Strategy (18 ม.ค.61)

ได้เวลาเลือกหุ้นกลางหุ้นเล็กบ้าง

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างสดใสเหนือความคาดหมาย Outperform กว่าตลาด ASEAN ที่เป็นตลาดพัฒนาแล้วเช่น มาเลเซียและสิงคโปร์อย่างมาก แต่นักลงทุนก็ไม่ควรประมาท อาจจะต้องทยอยล็อกกำไรเป็นระยะ ๆ และเลือกหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ยัง Laggard ซึ่งเรายังมองหุ้นขนาดกลางใน Sector ที่เด่น ได้แก่ ไฟฟ้า เครื่องดื่ม ซึ่งยังมีปัจจัยบวก ไฟฟ้า จะกลับเป็นสินค้าหลักทดแทนน้ำมันในอนาคต และได้รับผลบวกค่าเงินบาทแข็งเมื่อมีการลงทุนในรูปเงินเหรียญสหรัฐฯ แต่ควรเห็นค่าเงินบาทอ่อนเทียบเยนเมื่อมีการลงทุนโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่น ซึ่งภาวะตอนนี้น่าจะเริ่มเป็นปัจจัยบวกระยะสั้นกับธุรกิจไฟฟ้า ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ถูกปลดล็อกจากการประกาศลอยตัวราคาน้ำตาลทำให้ราคาน้ำตาลปรับตัวลง 10-15% ส่งผลบวกดีกว่าเร็วกว่าที่คาดคิด วันนี้เราจึงแนะนำเลือกลงทุน CBG, BGRIM, COM7 และ ICHI เน้นปัจจัยเด่นหลัก ๆ จากเรื่องบาทแข็งเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการลอยตัวราคาน้ำตาล กรอบดัชนี 1,816 – 1,840 จุด

 

หุ้นเด่นวันนี้: CBG (ราคาปิด 81.75 บาท, ซื้อ, ราคาเป้าหมาย AWS 97บาท)

  • มีโอกาสในการเติบโตสูง ทั้งจากแนวโน้มที่คาดว่าจะดีขึ้นในส่วนของในประเทศ และโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดดในต่างประเทศ คาดการณ์ว่าในปี 2560 นั้นกำไรจะปรับลดลงจากปีที่แล้วราว 8.12% มาอยู่ที่ราว 1,369 ล้านบาท อันเนื่องมาจากทั้งการเป็นช่วงไว้ทุกข์และฤดูฝนที่ยาวนาน กระทบภาคการใช้แรงงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการทำตลาดในต่างประเทศที่สูง คาดว่ากำไรจะเริ่มดีขึ้นในปี 2561เป็น 1,558 ล้านบาท +14% YoY และเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2562 เป็นต้นไป อีกทั้งคาดการณ์ว่ายอดขายในอังกฤษ และจีนจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการรุกตลาดมากขึ้น เราเชื่อว่า CBG จะรุกตลาดในต่างประเทศได้สำเร็จ แม้ปัจจุบันราคาหุ้นจะมี PER ที่สูง แต่อนาคตบริษัทมีโอกาสการเติบโตของกำไรได้เป็นเท่าตัวจากปัจจุบัน จึงมองว่าคุ้มค่าน่าลงทุน ราคาเป้าหมาย 97 บาท อิงวิธี DCF
  • Price Pattern ของ CBG ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal โดยเมื่อพิจารณา Price Pattern ของ CBG ในระยะสั้นมีเป้าหมายแรกอยู่ที่ 25 บาท และมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 89.25 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ CBG มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 80.75 บาท (Resistance: 82.50, 83.25, 84.00; Support: 81.00, 80.25, 79.50)

ปัจจัยในประเทศ:

  • คณะกรรมการค่าจ้างมีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ตั้งแต่ 5-22 บาท ขึ้นอยู่กับจังหวัด โดยค่าแรงใหม่จะอยู่ในช่วง 308-330 บาท หรือเฉลี่ยที่ 97 บาท มีผลนับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2561 เป็นต้นไป (บางกอกโพสต์)
  • ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) เตรียมเสนอแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าประมาณ0 ล้านล้านบาท และประกาศพื้นที่พิเศษอีก 19 นิคม ให้คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดอีอีซี) ในวันที่ 1 ก.พ. 2561 นี้ (ที่มา: โพสต์ทูเดย์) ความเห็น: ความคืบหน้าของโครงการ EEC ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและส่ง Sentiment ทางบวกต่อตลาดโดยรวม
  • LH ตั้งเป้าเปิดโครงการโดยมีมูลค่าเพิ่มเป็น 3 เท่าในปี 2561 : ปีนี้ LH ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 18 โครงการมูลค่ารวม 36,300 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ายอด presales ในปีนี้เท่ากับ 31,000 ล้านบาทเติบโต 19% YoY จากยอด Presales ที่ 26,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว นอกจากนี้ทางบริษัทมีแผนที่จะลงทุน 7,000 ล้านบาทเพื่อซื้อที่ดินและอีก 6,000 ล้านบาทเพื่อทำสัญญาเช่าที่ดินที่สุขุมวิท 10 เพื่อเพิ่ม recurring income ให้กับบริษัท ความเห็น: LH จะใช้งบลงทุน 6,000 ล้านบาทเพื่อทำสัญญาเช่าที่ดินระยะเวลา 30 ปี เพื่อพัฒนาเป็นโครงการ mixed-use โดยประกอบไปด้วยโรงแรม สำนักงานและร้านค้า

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ:ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทะลแนว 26,000 จุดเป็นครั้งแรก โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดทำนิวไฮพร้อมกันอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือ "Beige Book" ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีการขยายตัวได้ดี และมีแนวโน้มที่สดใสในปี 2561 นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมันดิบ:ปิดบวกขานรับการคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวลดลงอีกเป็นสัปดาห์ที่ 9 โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ในวันนี้
  • ราคาทองคำ:ปิดปรับตัวขึ้นจากการที่นักลงทุนมองว่า แนวโน้มของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงซบเซา ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อจับสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
  • เงินดอลลาร์สหรัฐฯ:แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" ดัชนี DXYO ปรับตัวขึ้นมา 90.89 จุด หลังจากตกต่ำสุดที่ 90.113 จุดวานนี้ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทแข็งค่าหนักเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยล่าสุดอยู่ที่ 32.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้เป็นอุปสรรคการส่งออกไทย แต่กลับเป็นผลบวกกับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งเพราะมีการลงทุนและสั่งซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ เช่นธุรกิจโรงไฟฟ้า TVO,GIFT, BEAUTY, DDD เป็นต้น
  • ดัชนีค่าระวางเรือ BDIปิดวันทำการล่าสุดที่ 1,164.00 จุด ลดลง 00 จุด