ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก35ปี 'อดีตการ์ด นปช.' ยิงใส่ 'กปปส.' หน้าตึกชินฯ
ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก35ปี4เดือน จบคดี "นปช." ยิงเอ็ม79ใส่ "กปปส." หน้าตึกชินวัตรฯปี57 เผยผู้ต้องหาถูกขังเรือนจำสระบุรี ส่วนอีกคนยกฟ้อง
ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันที่ 16 ม.ค.61 เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีการ์ด นปช. ยิง M 79 ใส่ กปปส. หน้าตึกชินฯ คดีหมายเลขดำ อ.3820/2557 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายณรงค์ศักดิ์ หรือตุ้ย พลายอร่าม อายุ 32 ปี อดีตการ์ดแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายพีรพงษ์ หรือธานินทร์ สินธุสนธิชาติ อายุ 43 ปี ชาว จ.ระยอง เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, กระทำการให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลฯ, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 221, 288, 289, 358, 371, 376 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 42(2), 7, 8 ทวิ, 38, 55, 72, 72 ทวิ, 74, 78 พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา15, 42 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
โดยคดีนี้จำเลย ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำ จ.สระบุรี ในคดีอื่น ซึ่งศาลจังหวัดสระบุรี ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้ให้จำเลยฟังไปแล้ว เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 60 ที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ (16 ม.ค.) ศาลอาญา ได้อ่านผลคำพิพากษาศาลฎีกา ให้อัยการโจทก์ ทราบเท่านั้น จึงไม่มีการเบิกตัวจำเลยมาศาลอาญา โดยคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2557 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันมีอาวุธปืนชนิดเครื่องยิงระเบิดสังหาร ขนาด 40 มม. 1 ลูก ที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นยุทธภัณฑ์ทางทหารไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และจำเลยทั้งสองกับพวก ก็ได้ร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนดังกล่าวติดตัวไปตาม ถนนลาดพร้าว ถ.รัชดาภิเษก ถ.พหลโยธิน และ ถ.วิภาวดีรังสิต อันเป็นในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร
หลังจากนั้นพวกจำเลย ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. บริเวณหน้าอาคารชินวัตร 3 แขวง-เขตจตุจักร กทม. อันเป็นการยิงปืน ซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน และที่ชุมชน โดยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน โดยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าลูกระเบิดยิงชนิดระเบิดสังหารที่มีอานุภาพทำลายล้างที่รุนแรงสามารถทำอันตรายแก่ชีวิตบุคคลที่สัญจรผ่านบริเวณ ถ.วิภาวดีรังสิต และกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่ชุมนุมอยู่บริเวณอาคารที่เกิดเหตุ ให้ถึงแก่ความตายและเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินได้ แต่เนื่องจากลูกกระสุนระเบิดตกห่างจากจุดที่ "นายประกิต กันยามา" ผู้เสียหายที่ 1 ยืนอยู่ประมาณ 40 เมตร แล้วระเบิดขึ้น สะเก็ดระเบิดจึงไม่ถูกผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. ถึงแก่ความตาย แต่มีสะเก็ดระเบิดกระเด็นถูกเสาอาคารโดมและต้นไม้ประดับของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 20,000 บาท หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุเก็บเศษสะเก็ดระเบิดได้ 1 ถุงเป็นของกลาง เหตุเกิดที่แขวงจตุจักร แขวงจันทรเกษม แขวงจอมพล แขวงลาดยาว เขตจตุจักร, แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง, แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง, แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน, เขตสีกัน, เขตดอนเมือง และแขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.เกี่ยวพันกัน
โดยจำเลยที่ 1 ถูกจับกุมได้ในวันที่ 16 ก.ค.57 ส่วนจำเลยที่ 2 จับได้ในวันที่ 22 ก.ย.57 จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.4334/2557 ของศาลนี้ ขณะที่คดีนี้ ศาลอาญาที่เป็นศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 พ.ย.58 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 43 ปี 4 เดือน พร้อมริบของกลาง ต่อมาจำเลยยื่น และได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 59 พิพากษาแก้ให้ลดโทษจำคุก "นายณรงค์ศักดิ์" จำเลยที่ 1 เหลือ 35 ปี 4 เดือน และยกฟ้อง "นายพีรพงษ์" จำเลยที่ 2 แต่ศาลยังให้ขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกา จากนั้นอัยการโจทก์ และ "นายณรงค์ศักดิ์" จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกา
ทั้งนี้ "ศาลฎีกา" ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้นั้น โจทก์มีนายยงยุทธ หรือชินจัง บุญดี เป็นพยานเบิกความว่าในวันเกิดเหตุพยานโทรหาจำเลยที่ 1 ให้มารับเพื่อไปยิงระเบิดใส่ผู้ชุมนุม กปปส. โดยพยานเป็นคนยิง ศาลฎีกา เห็นว่า คำเบิกความของ "นายยงยุทธ" สอดคล้องกับที่ให้การหลังถูกจับกุมเพียง 2 วัน คำให้การมีรายละเอียดการก่อเหตุรุนแรงของนายยงยุทธถึง 10 ครั้ง ยากที่จะคิดปรุงแต่ง ในชั้นสอบสวนนายยงยุทธยังให้การทั้งในฐานะผู้ต้องหาและพยานยืนยันการก่อเหตุรุนแรงดังกล่าวเช่นเดิม และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ แม้คำเบิกความของ "นายยงยุทธ" เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 แต่นายยงยุทธมิได้เบิกความให้ตนเองพ้นผิดโดยปัดความผิดไปให้จำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียว พยานหลักฐานโจทก์นำสืบมาข้อเท็จจริงรับฟังได้ปราศจากข้อสงสัย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า "นายพีรพงษ์" จำเลยที่ 2 กระทำความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีเพียงบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ที่ให้การในฐานะพยานและผู้ต้องหา จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพประกอบบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ซึ่งต่างเป็นพยานบอกเล่า นายยงยุทธก็ไม่ได้ให้การว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดในคดีนี้ด้วย ซึ่ง โจทก์ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนบันทึกคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ให้มีน้ำหนักรับฟัง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดคดีนี้หรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ "นายพีรพงษ์" จำเลยที่ 2 ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกา จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุก "นายณรงค์ศักดิ์" จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 35 ปี 4 เดือน และยกฟ้อง "นายพีรพงษ์" จำเลยที่ 2