อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ของหนึ่งในผู้กำกับแห่งยุคที่ต้องนิยามตัวตนของเขาด้วยตัวคุณเอง
กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ 'Samui Song ไม่มีสมุยสำหรับเธอ' ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของผู้กำกับ ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง จะมีคิวเข้าฉายในโรงภาพยนตร์
บ่ายวันหนึ่ง ใกล้ๆ วันสิ้นปี 2560 เขาเล่าที่มาของผลงานชิ้นนี้ว่า เกิดจากการได้เห็นดาราสาวคนหนึ่งเดินชอปปิงกับคนรักชาวต่างชาติ เขาจึงเดินตามเฝ้าดูพฤติกรรมของเขาและเธอ และจินตนาการเรื่องราวความรักของคนทั้งคู่
“พอผมไปว่ายน้ำ ระหว่างว่ายไปก็คิดเรื่อยๆ คิดว่าชีวิตที่บ้านของผู้หญิงคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างวะ แล้วมันก็ดาร์คขึ้นเรื่อยๆ คือชีวิตเขาอาจจะดีก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่ในหัวผมทำงานอีกอย่าง ก็เอาอันนี้มาทำเป็นบท ใช้เวลาเขียนประมาณ 2 ปี …เวลาผมทำหนังสักเรื่อง ผมไม่ได้เริ่มจากการเขียนเป้าหมายของหนังว่าจะสื่อสารอะไร วางธีม (Theme) แล้วทำบท แต่วิธีผมมันโบราณ คือผมเอาสิ่งที่ตกตะกอนอยู่ในหัวทั้งหมด มาเทกองรวมกัน แล้วดูสิว่ามีอะไรที่เข้ากันได้บ้าง ซึ่งแน่นอนว่าที่ผ่านมามันก็จะมีทั้งเข้ากันบ้าง ไม่เข้ากันบ้าง ดูรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องก็เยอะ”
หากนับงานล่าสุดซึ่งเตรียมเข้าฉายในอีกไม่กี่วัน (ก.พ.61) ย้อนไปถึงหนังเรื่องแรก 'ฝัน บ้า คาราโอเกะ' (ส.ค.40) ซึ่งมีชื่อเป็นเอก รัตเรือง เป็นผู้กำกับ นี่ก็เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่เขาคลุกคลีกับวงการภาพยนตร์ และตลอดเวลาที่ว่านั้นมีความรู้สึกใดที่ถูกบันทึกอยู่บ้าง
20 ปีที่ผ่านมา คุณคิดว่าช่วงเวลาไหนที่เป็นไฮไลท์ หรือเป็นช่วงเวลาที่ควรจดจำที่สุด
ถ้าไฮไลท์ก็คงเป็นช่วงที่ผมคิดว่าตัวเองทำหนังเป็นแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันไมได้เป็นตั้งแต่เรื่องแรก ถ้าให้เลือกก็คงเป็นช่วงทำมนต์รักทรานซิสเตอร์ (ปี44) ต่อด้วย Last Life in the Universe เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล (ปี46) อย่างมนต์รักฯ มันเป็นหนังที่ได้มาตรฐานสำหรับผม ทั้งเรื่องรายได้ แล้วมันก็เป็นหนังที่ผมรู้สึกว่า‘เอาอยู่’ในการกำกับ คือทำให้คนดูรู้สึกได้อย่างที่ต้องการ แล้วมันก็เป็นหนังที่ลงตัว กลมกล่อม เป็นหนังไทยในแบบที่มันควรจะเป็น แล้วก็เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตที่พาผมไปเทศกาลหนังเมืองคานส์
เคยมีคนถามว่าอยากจะแก้ไขอะไรในมนต์รักฯบ้างไหม ผมรีบตอบเลยนะว่าไม่มีหรอก คุณเชื่อไหม สำหรับผมมันลงตัวมาก สมบูรณ์แบบ จนผม (ในตอนนั้น) คิดว่าจะทำหนังอะไรก็ได้ แล้วหนังเรื่องนี้มันก็พาผมไปรู้จักตากล้องที่ชื่อคริสโตเฟอร์ ดอยล์ พาไปรู้จัก ทาดาโนบุ อาซาโน่ แล้วเราก็คิดทำหนังด้วยกัน ผมก็เอาไปให้คุ่น (ปราบดา หยุ่น) ไปเขียน ออกมาเป็น Last Life แล้วพอทำเรื่องนี้จบมันเหมือนเป็นความสำเร็จอีกขั้น คือมันอินเตอร์มาก มันไปได้รางวัลที่เวนิส แล้วยังพาผมให้ไปสนใจหนังอีกแบบหนึ่งเลย เป็นหนังที่ให้อารมณ์คลุมเครือ อ่อนโยน เรียกว่าช่วงนั้นคงเป็นไฮไลท์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้
แล้วในแง่ความสุขของมนุษย์คนหนึ่ง 20 ปีที่ผ่านมา เลือกช่วงเวลาไหน
เป็นช่วงนั้นเหมือนกันครับ คือรู้สึกมีความสุขที่สุด เท่าที่พอนึกได้ ความสุขมันแบ่งเป็น 2 ช่วง คือช่วงแรกตอนทำมนต์รักฯ คาบเกี่ยวกับ Last Life ตอนนั้นมีความสุขในการทำหนังมาก คือเราเริ่มจะเอาอยู่ ทำหนังเป็น และก็เริ่มประสบความสำเร็จในแง่ของการมีชื่อเสียง ไอ้สิ่งที่เราทำคนเริ่มเห็นว่ามีคุณค่า แบบว่าเป็นที่ยอมรับแล้วแล้วโว้ย และชื่อเสียงมันก็พาเราไปที่อื่น เพราะถ้าไม่มีชื่อเสียงก็คงไม่พาเราไปจุดนั้นได้ แล้วที่รู้สึกว่ามีความสุขอีกช่วงก็คือตอนนี้แหละครับ เพียงแต่มันเป็นความสุขคนละแบบ ปัจจุบันผมมีความสุขในแบบที่ว่าผมสนใจเรื่องการทำหนังน้อยลง ความกระตือรือร้นก็แผ่วไปตามอายุ ตอนนี้ผมมีความสุขกับชีวิตปกติ เลี้ยงหมา มีแฟน ได้ไปต่างจังหวัด สุขแบบที่ชีวิตเราไม่เคยมีในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
20 ปีที่ผ่านมา มันแย่กว่าช่วงนี้มากเลยหรือ
คือมันไม่ได้ลำบากหรือแย่นะ แต่ชีวิตปกติในช่วงนั้นมันหายไป คือคุณต้องเข้าใจก่อนว่าในช่วงที่ผมทำหนังเนี่ย ผมเริ่มจากการไม่มีความรู้มาก่อนเลย ผมไม่ได้เรียนและไม่ได้มีความฝันจะทำอาชีพผู้กำกับ ผมทำแบบตกกระไดพลอยโจนไปเรื่อยๆ ตอนแรกจะไปทำงานที่ค่ายผู้อพยพ จู่ๆ รุ่นพี่ก็ชวนมาทำงานโฆษณา ทำแล้วก็ได้กำกับ กำกับแล้วได้รางวัล พอกำกับหนังโฆษณาแล้วมาทำหนังใหญ่อีก ผมไม่เคยมีความฝันที่จะทำสิ่งนี้มาก่อนเลย ดังนั้นไอ้การที่จะทำให้ผลงานออกมาดีเท่าที่จะทำได้จึงยากมากสำหรับผม จนมันต้องทิ้งอะไรในชีวิตไปเยอะเลย พ่อแม่พี่น้องกลายเป็นเรื่องรอง ชีวิตครอบครัวกลายเป็นเรื่องรอง เพราะเรื่องใหญ่ของชีวิตคือการทำหนัง ต้องหายใจเข้าออกเป็นสิ่งนี้เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์แบบนี้ คือมันไม่ได้ลำบากแต่ต้องจดจ่อกับมัน ซึ่งการจดจ่อนี้เอาชีวิตด้านอื่นไป แต่ผมเองก็เอ็นจอยกับมันนะ แต่พอทำมากขึ้น อายุมากขึ้น สิ่งรอบๆ ตัวเปลี่ยน ความคิดก็เปลี่ยนไป
ภาพรวมชีวิตทุกวันนี้กับการทำหนังคิดเป็นสัดส่วนเท่าไร
สัก 30-40 เปอร์เซ็นต์ แต่สมัยนั้น ช่วงพีคๆ มัน 90 เปอร์เซ็นต์เลยไง คุณนึกออกไหมละไม่มีชีวิตด้านอื่นเลย ไม่มีแฟน เฮ้ย มีสิ แต่ก็มีแบบเป็น Affair
ได้ยินว่าเมื่อก่อน ดูงานของตัวเองไม่ได้เลย
(ส่ายหน้า) ใช่ครับ ดูไม่ได้เลย แต่ตอนนี้ดูได้แล้วนะ มันยอมรับกับชีวิตมากขึ้นว่าตอนนั้นเราทำได้เท่านี้นี่หว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้จะเป็นจะตายให้ได้ “ทำไมไม่ทำแบบนี้วะ” “ทำไมคัทนี้ถึงตัดเร็วนัก” คือมันจะเห็นแต่สิ่งที่เราทำไม่ดีไปหมด มันเป็นคล้ายๆ กับอีโก้แบบที่เราควบคุมไม่ได้ มันเป็นความอายที่กลัวใครจะมาเห็นความผิดพลาดของเรา เป็นความไม่มั่นคงในจิตใจของคนทำงานคนหนึ่ง กลัวคนจะเห็นความผิดพลาด แล้วก็มีนิสัยอย่างหนึ่งคือชอบด่าหนังตัวเองให้ชาวบ้านฟัง
รีบออกตัวก่อน เพราะถ่อมตัวรึเปล่า
ไม่ใช่หรอก เมื่อก่อนผมเคยคิดว่านี่คือการถ่อมตัว แต่พอผมโตขึ้น มานั่งวิเคราะห์ตัวเองก็รู้ว่ามันคือความไม่มั่นคงมากกว่า เรากลัวคนจะจับได้ว่าเราทำได้ไม่ค่อยดี เรากลัวเขาจะเห็น เลยรีบด่าตัวเอง เพราะด่าตัวเอง มันปลอดภัยกว่าการให้คนอื่นมาด่า แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกแย่กับมันละ ก็จังหวะนั้นมันทำได้แค่นั้น ทำได้แค่นี้
มันเป็นการยอมรับความเป็นจริงมากขึ้นครับ ไอ้การยึดมั่นถือมั่นแบบอยากจะให้สังคมรับรู้ว่าเราเป็นคนแบบไหนมันน้อยลง ถ้าให้เดาอายุมันมีผลแน่ๆ ตอนที่พีคๆ มันอยากจะพุ่งทะลวงไปข้างหน้าอย่างเดียว เหมือนนักฟุตบอลหนุ่มๆ ที่อยากจะโชว์ จังหวะไหนเล่นง่ายๆ ได้ก็ไม่เล่น เพราะเชื่อมั่นตัวเองสูงมาก แล้วยิ่งมีคนยืนยันว่าเราเก่ง มันก็ยิ่งหยุดไม่อยู่
เคยมีคำวิจารณ์ไหนที่อยากจะพุ่งไปตอบโต้ไหม
ไม่ถึงขั้นนั้น เพราะคงไม่รู้จะตอบโต้ทำไม เวลาผมทำงานเสร็จชิ้นหนึ่ง ผมก็รู้อยู่แล้วว่าผมทำได้ประมาณไหน คือทำหนังออกมา หนังมันอาจจะแย่ หรือมีคนด่าก็บ่อยมากๆ แต่ผมก็จะรู้เองเลยว่า “เฮ้ยมันด่าเกินจริง” คือไม่ได้แย่ขนาดนั้น หรือหนังบางเรื่องมันออกมาดีเกินคาด ก็จะมีคนชม ชมจนเว่อร์ ผมก็จะรู้แล้วว่ามันไม่ดีขนาดนั้น มันก็จะดีประมาณนี้แหละ ไอ้ที่ตอบโต้ด่ากันไปมาสำหรับผมเลยไม่มี เพราะรู้อยู่แล้วว่าเราได้ประมาณไหนอย่างไร
มีคนตั้งข้อสังเกตว่าหนังของเป็นเอก นางเอกจะมีส่วนผสมของความมีเสน่ห์ เซ็กซี่ ดูเป็นอาร์ตติสท์ ผู้หญิงเหล่านี้คือรสนิยมของคุณรึเปล่า
ก็นางเอกเรื่องแรกแหละครับ (หัวเราะ) ซึ่งในที่สุดก็เป็นแฟนกัน แต่มันก็ไม่เวิร์ค จากเรื่องนั้นก็ตัดสินใจว่าจะไม่แคสนางเอกที่อยู่ในรสนิยมอีกแล้ว ไม่อยากไปสู่จุดนั้นแล้ว
ถ้าตอบแบบซีเรียสหน่อย ผมเองก็ไม่ได้เลือกนักแสดงบนฐานจากรสนิยมของตัวเองหรอก คือมันต้องมาจากฐานของคาแรกเตอร์ตัวละครเป็นหลัก และเวลาเลือกนักแสดงผมก็จะเลือกจากความน่าสนใจ เพราะเราต้องดูคนๆ นี้ 2 ชั่วโมงเลยนะ คุณเคยเจอไหมละ บางคนโคตรสวย ถูกชะตามาก แต่นั่งดู 2 ชั่วโมงไม่่ได้ น่าเบื่อ รู้สึกว่ามันแบนไปหน่อย เวลาเราพูดว่าน่าสนใจน่ามอง มันไม่ใช่แค่ความสวยนะ แต่ต้องมีความพิเศษบางอย่าง อย่างตอนผมเลือกคุณกิ๊บซี่ (วนิดา เติมธนาภรณ์) เรื่องนางไม้ เหตุผลคือเพราะผมชอบที่ตาเขา ตาเขามันเหมือนคนกำลัง Guilty (รู้สึกผิด) รู้สึกหลบซ่อนกับอะไรบางอย่าง แล้วเหมือนไม่อยากให้เรารู้ บังเอิญมันเข้ากับบท เพราะบทตัวละครนี้มันมันมีความผิดอยู่
ผมเชื่อว่าทุกคนมีความน่าสนใจนะ และถ้าให้ผมเลือกนางเอกที่ขาวๆ ขายาวๆ ที่สังคมเห็นบ่อยๆ เห็นในละครแล้วคิดว่านางเอกทุกวันนี้สวยเหมือนๆ กันหมด ผมก็ต้องมากะเทาะจนกว่าเปลือกนั้นจะหมด คนที่ดูเหมือนหุ่นพลาสติก หน้าพลาสติก บางทีเขาอาจจะไม่มีอะไรนอกจากนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะกลวงโบ๋ เราต้องเคาะเปลือกนั้นออกเพื่อหาความน่าสนใจ แล้วผมก็เคยเจอ คนที่เป็นดาราทีวีแต่พอเราได้คุยจริงๆ รู้จักกันแล้วเขามีอะไรที่ลึกซึ้งอยู่
แล้วนักแสดงที่คุณชอบจริงๆ เป็นแบบไหน
ผมชอบทำงานกับปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม ซึ่งถ้าเห็นผลงานก็ไม่น่าแปลกใจ ปีเตอร์เนี่ยเขาเป็นนักแสดงจริงๆ แล้วความตั้งใจเขาสูงมาก (ลากเสียง) ในขณะเดียวกันเขาก็มีความลึกซึ้งอยู่ด้วย
จำได้ว่าตอนทำฝนตกขึ้นฟ้ากัน ซึ่งเรื่องนี้เราทำงานร่วมกันเป็นเรื่องที่ 2 แล้วหลังจากนางไม้ เราส่งบทให้เขาอ่าน พออ่านแล้ว เราก็มานั่งกินเบียร์คุยกันที่โลเคชั่นต่อ จู่ๆ เขาถามคำถามผมประโยคหนึ่งซึ่งผมจำได้ถึงทุกวันนี้เลย เขาถามผมว่า “พี่ต้อม ตอนพี่เขียนบทเรื่องนี้ เพลงที่พี่ได้ยินในหัวคือเพลงอะไร” ซึ่งผมมองว่าเป็นคำถามที่แปลกมากเลยวะ แล้วผมก็ตอบเขาไปว่า เพลงที่ผมฟังบ่อยตอนนี้คือเพลง “ส่วนที่หายไป” ของอารักษ์ อาภากาศ แล้วปีเตอร์เขารู้จักเพลงนี้พอดี เขาก็ฮึมฮัมแล้วก็บอกว่า “อือ ผมเข้าใจแล้ว”
แล้วคุณรู้ไหม ปีเตอร์เนี่ย เขาเป็นคนโคตรซีเรียสกับการแสดงมากเลยนะ ผมยังพูดเล่นเลยว่า “ปีเตอร์แม่งตั้งใจจนรู้สึกว่าเราเป็นคนขี้เกียจ” แล้วเขาตอบกลับมาว่าไงรู้ป่ะ เขาตอบกลับมาเป็นประโยคที่ผมชอบมากเลยว่า “ผมไม่อยากเป็นส่วนที่แย่ในหนังที่ดี” จากนั้นผมเคลียร์เลย สามารถทำงานกับปีเตอร์ไปได้ตลอดชีวิต แล้วเขาไม่ได้แค่ตั้งใจ หรือเป็นคนที่ลึกซึ้งเท่านั้นนะ แต่เรื่องเทคนิคเขาก็ตอบสนองได้
ส่วนนักแสดงผู้หญิงมันมีหลายรูปแบบ และผมก็โชคดีที่ผมมักจะได้นักแสดงเก่ง ทั้งคุณหมิว(ลลิตา ปัญโญภาส) อุ้ม (สิริยากร พุกกะเวส) คริส (หอวัง) กิ๊บซี่, พลอย (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) แต่ถ้าคนที่เซอร์ไพรส์ผมสุดๆ แบบว่าเปิดกล้องแล้วตกใจว่า เฮ้ย เล่นได้แบบที่คิดไว้เลยเหรอ คือสายป่าน (อภิญญา สกุลเจริญสุข) กับกิ๊บซี่
อย่างสายป่านตอนเขามาเล่นหนังพลอย น้องเขาไม่เคยเล่นหนังมาก่อนเลย คือมีคนไปเจอเขาเดินห้างแล้วชวนมาแคสติ้ง แต่พอเปิดกล้องวันแรก จำได้ดีว่าวันนั้นมีอนันดา (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) มีพี่ใหญ่ (พรวุฒิ สารสิน) เข้าฉากด้วยกัน แล้วก็สายป่าน เราก็ใช้เวลาถ่ายกัน 1 วัน พอถ่ายเสร็จ ก็ถึงเวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน พวกผมยังนั่งกินเบียร์กันต่อ แล้วทุกคนแม่งพูดถึงแต่เด็กคนนี้ “เฮ้ยมันเป็นใครวะ” อนันดานี่ช็อคไปเลยนะ งงแ-กไปเลย เขาบอก “เฮ้ย มันเป็นใครวะ มันไม่กลัวใครเลย” ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเจอไง ก็ถือว่าโชคดีที่ส่วนใหญ่ผมได้นักแสดงดี ไม่เคยมีนักแสดงที่แย่ๆ กับผม
มีนักแสดงที่กล้าแย่กับคุณด้วยเหรอ?
มีสิ คือคำว่าแย่ในที่นี้หมายถึง เขาไม่เข้าใจโลกการทำงานของผม ดาราบางคนตัวเลขบนที่ตีเสลทมีผลกับเขามาก ซึ่งผมพยายามบอกนักแสดงว่า จำนวนเทคมันไม่มีผลเลย คุณอย่าให้มันมีผล เพราะไม่ใช่ว่าคุณเล่น 3 เทคแล้วจบ จะเก่งกว่าคนเล่น 40 เทค มันไม่ใช่แบบนั้น แต่มันเป็นเพียงวิธีการทำงานของเรา ในกองผมอาจจะให้คุณเล่น 40 เทค แต่จริงๆ ผมอาจจะเอาเทคที่ 2 ก็ได้ ผมเพียงแต่หาโมเมนต์นั้นอยู่ ผมจะหาจนกว่าจะเจอ หรือบางทีคุณอาจจะเล่นเพียง 2 เทค คุณคิดว่าเก่ง แต่เอาเข้าจริงมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่อาจเป็นเพราะผมคิดว่ามันหมดหวังแล้ว เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า บางฉากตอนตัดต่อผมไม่เอามาอยู่ในหนังด้วยซ้ำ เพราะสำหรับผมการอยู่ในกองถ่ายคือการชอปปิง เหมือนคุณทำผัดกะเพรา คุณซื้อเนื้อ 1 กิโล ซื้อกะเพรา ซื้อพริก คุณก็ไม่ได้ใช้หมดใช่ไหม ระหว่างที่คุณทำมันก็มีส่วนที่ตกไปบ้าง มีเศษกะเพราหล่นพื้นบ้าง มันก็เป็นเรื่องธรรมดา
ผู้กำกับต้องเป็นผู้ตัดสินใจทั้งหมด
สำหรับผมกิจกรรมทำหนังมันเป็นกิจกรรมของเผด็จการครับ เพราะว่าถ้าคุณเป็นผู้กำกับหนังเนี่ย ไอ้การเป็นประชาธิปไตยมันไม่รอดหรอก คุณจะพยายามทำความเข้าใจในทุกส่วน แล้วก็เปิดโหวต เทคไหนดี ตัดต่ออย่างไร มันคงไปไม่รอด หนังมันเป็นเรื่องของ Vision และถึงแม้ผู้กำกับที่ถูกเลือกมันจะมี Vision ตรงนั้น แต่การจะเดินไปสู่เป้าหมายให้สำเร็จระหว่างทางมันไม่ถูกหมดเสมอไปหรอก บางทีไอ้ตัวผู้กำกับก็อาจตัดสินใจผิดบ้าง ทำตัวไม่เข้าใจบ้าง แต่ว่าห้ามยุ่งกับมันครับ ต้องซัพพอร์ตมันไปถึงตอนจบให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่กิจกรรมของประชาธิปไตยแน่ๆ
ปัจจุบันนี้ มองกันว่าสตรีมมิ่งคอนเทนท์อย่าง Netflix กำลังมีผลกับวงการหนังในภาพรวม เช่น มีการจ้างผู้กำกับในประเทศนั้นเพื่อผลิตงานและ On Air ในแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ไม่ใช่โรงภาพยนตร์ คำถามแรกในประเด็นนี้คือเคยมีคนมาว่าจ้างคุณให้ทำหนัง เพื่อไปออนในสตรีมมิ่งแล้วหรือยัง
ถ้าค่าย Netflix ยังครับ แต่กับ HBO ประเทศสิงคโปร์ กำลังคุยกันอยู่
แล้วมองเรื่องนี้อย่างไร เพราะบางส่วนมองว่าการทำหนังออนสตรีมมิ่ง กำลังทำลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างโรงภาพยนตร์
(นิ่งคิด) ผมคิดว่าศิลปะของภาพยนตร์ มันคงไม่มีอะไรมาแทนได้หรอกครับ คือมันมีบรรยากาศของโรงหนัง มีจอใหญ่ๆ นั่งกันมืดๆ เงียบๆ จะไปกด Pause เพื่อไปชงกาแฟไม่ได้ คือมันไม่มีทดแทนตรงนี้ได้ แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับว่ามันหยุดยั้งเทคโนโลยีที่เดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ได้เหมือนกัน และการมีผู้ให้บริการสตรีมมิ่งคอนเทนท์ซึ่งมีหนังอยู่ด้วย มันก็ส่งผลให้คนเสียเงินไปดูในโรงน้อยลงแน่ๆ เพราะดูอยู่บ้านมันสบายกว่า เสียเงินน้อยกว่า ซึ่งถามผม ก็คงคิดว่าเราหยุดยั้งเทคโนโลยีและพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้หรอก
ถ้าถามผมในฐานะผู้กำกับ ผมชอบทำหนังนิ และถ้าเกิดมีคนให้ทุนผมไปทำหนังที่ไม่ใช่ Netflix หรือ HBO อยากให้ผมทำหนัง อาจจะเป็นนักธุรกิจคนไทยที่มีเงินทุนไม่เยอะ สัก 10ล้านบาท แต่อยากค้ำจุนหนัง มาให้ผมทำ แล้วฉายในโรง ผมก็จะตอบตกลงทันทีว่า “ทำครับ” ทำแน่ๆ ผมจะตัดสินใจทันทีแม้ว่า Netflix หรือ HBO จะให้ผม 50ล้าน เพราะผมก็จะทำไอ้ 10 ล้านให้ได้ แต่ถ้ามันไม่มีผมชอยส์นั้นให้ผมเลือก ไม่มีใครบอกว่า “เฮ้ย เป็นเอก เอาเงินไปทำหนังแล้วมาฉายในโรง” ซึ่งในเวลาที่ไม่มี ถ้า Netflix หรือ HBO มีเงินให้ผมทำ ผมก็ต้องทำครับ เพราะว่ามันปฏิเสธไม่ได้ว่า คนทำหนังความสุขมันอยู่ที่การทำหนัง
สำหรับผม ภาพยนตร์ยังไงมันก็เป็นศิลปะ มันไม่ใช่แค่ความบันเทิงแน่ๆ ถ้ามีคนมาเสนอให้ผมทำหนังผมก็จะทำ เราเป็นคนทำหนัง ที่ไหนให้ทำได้ผมก็ไปที่นั่น ยกเว้นไปถึงข้อจำกัดเต็มไปหมด จนผมไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ผมก็เลือกจะไม่ทำดีกว่า แต่ถ้าเอาเงินมาแล้วให้อิสระในการทำเหมือนกัน แม้มันจะคนละช่องทางมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ