ตร.พิสูจน์ 'รถ-คนขับ' โดนกระสุนปืนปริศนาดับ

ตร.พิสูจน์ 'รถ-คนขับ' โดนกระสุนปืนปริศนาดับ

ตำรวจตรวจพิสูจน์ "รถ-คนขับ" โดนกระสุนปืนปริศนา เรียกสอบชุดตั้งด่านหาตัวมือปืน

จากกรณีที่ นายศรชัย สถิตย์ดำรงค์ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 517 ม.16 ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย และนางสาวศิริรัตน์ แยเบียง อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108 ม.25 ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย แฟนสาว ได้ขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อยี่ห้อนิสสัน ทะเบียน 2กอ 2137 กรุงเทพฯ ผ่านบริเวณจุดบริการประชาชน บ้านแมต่ำ ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ได้มีกระสุนปริศนายิงใส่บริเวณด้านหลังรถส่งผลให้รถเสียหลักพุ่งชนเสาไปฟ้าข้างทาง และกระสุนปืนยิงถูกนายศรชัย เข้าที่บริเวณศรีษะจำนวน 3 นัด เสียชีวิตคาที่ ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่จะเข้าทำการตรวจที่เกิดเหตุและนำร่างนายศรชัย ส่งชันสูตรพลิกศพที่โรงพยาบาลเชียงราย ประชานุเคราะห์ โดยเหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของคืนวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา

ล่าสุดทาง พล.ต.ท.พลูทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ยุทธชัย พัวประเสริฐ ผบก.ภ.จว.เชียงราย นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอแม่สรวย ได้เดินทางมาติดตามคดีดังกล่าว โดยมี พ.ต.อ.วิชาญ ชูฤทธิ์ ผกก.แม่สรวย ในฐานะหัวชุดคลี่คลายคดี นำสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง หลังญาติได้นำศพผู้เสียชีวิตมาร้องถึงหน้าสภ.แม่สรวย โดยเบื้องต้นทางตำรวจได้ให้ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตำรวจภูธรเชียงราย ได้เข้าทำการเก็บหลักฐานแบะตรวจหาหลักฐานอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ พรอมทั้งหาวิถีกระสุน จากรถที่ประสบเหตุ เพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน โดยการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบปลอกหรือหัวกระสุนอาวุธปืนที่ระบุชนิดได้ แต่จากร่องรอยและสะเก็ดของกระสุนปืนน่าจะเป็นอาวุธปืนลูกซอง

โดย พล.ต.ท.พลูทรัพย์ ได้เชิญตัวทาง น.ส.ศิริรัตน์ แยเบียง แฟนผู้เสียชีวิต พร้อมด้วยทนายความ และญาติอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปทำการสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อหามูลเหตุ และข้อเท็จจริงทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ โดยเฉพาะมูลเหตุจูงใจที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งทางผู้เสียหายยังคงยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งกับใคร และขับขี่มาตามปกติ โดยที่เจ้าหน้าที่ประจำด่านไม่ได้มีการเรียกให้หยุดรถเพื่อเรียกตรวจแต่อย่างไร

จนกระทั่งเวลา 17.30 น. ทางตำรวจชุดคลี่คลายคดีได้เชิญกำนันตำบลแม่สรวย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน พร้อมด้วยชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน(ชรบ.) ตำรวจและทหารที่ประจำจุดตรวจและเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุจำนวนกว่า 10 คน มาทำการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่พอทราบตัวผู้ก่อเหตุแล้ว ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนและลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานพร้อมทั้งให้ทางกำนันและผู้ใหญ่บ้านไปนำอาวุธปืนของชุดปฎิบัติของเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติหน้าที่ในวันเกิดเหตุมาตรวจสอบประกอบการให้การอีกครั้งหนึ่ง

จากการตรวจสอบภาพจากกล้องที่ติดหน้ารถผู้เสียชีวิตพบว่าในระหว่างเกิดเหตุผู้เสียชีวิตได้ขับรถผ่านด่านตามปกติ โดยผ่านด่านตรวจยังจุดเกิดเหตุตามที่ให้การจริง โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่ซึ่งแต่งคล้ายอาสาสมัครและชุดชรบ. ปฎิบัติหน้าอยู่ที่ด่านประมาณ 3-4 คน โดยใช้มีการใช้มือและไฟฉายโปก แต่ดูไม่ออกชัดเจนว่าเป็นเรียกตรวจ หรือโปกให้ชะลอ โดยที่รถผู้เสียชีวิตก็ไม่ได้ชะลอหรือเร่งความเร็วขับขี่ผ่านด่านตรวจไป จากนั้นก็มีเสียงคล้ายเสียงผู้ชายร้องครวญคราง จากนั้นรถก็วิ่งไถลไปข้างทางชนกับเสาไฟฟ้า โดยมีเสียงผู้หวีดร้องแล้วภาพก็ดับไป

พล.ต.ท.พลูทรัพย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าหลังการสอบสวนปากคำแล้วว่าพอเริ่มจะเห็นแล้วว่าเรื่องเกิดจากอะไร มีคนรับแล้วว่ามีการยิงปืนบ้าง แต่ยังไม่ยอมรับตรงๆ บางก็ว่ายิงขู่ บ้างก็ว่ายิงปืนขึ้นฟ้า ซึ่งทางตำรวจจะต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อมัดตัวผู่ที่ก่อเหตุ ซึ่งได้ให้ทางตำรวจกักตัวผู้ที่มีอาวุธปืนขณะปฏิบัติหน้าที่ และให้กลับไปเอาปืนมามอบให้กับตำรวจ เพื่อนำมาตรวจสอบ โดยยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน เพราะจุดตรวจดังกล่าวเป็นด่านตรวจของชุมชนเป็นด่านตรวจของฝ่ายปกครอง ไม่ได้เป็นด่านตรวจหลักของตำรวจ ส่วนใหญ่ผู้ที่มีอาวุธปืนที่เรียกมาสอบส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน

พล.ต.ท.พลูทรัพย์ กล่าวด้วยว่าข้อเท็จจริงจุดตรวจดังกล่าวเป็นจุดตรวจเพื่อใช้ดูแลไม่ให้เกิดอุบัติเหตุตามท้องถนน รวมทั้งอาชญากรรมในบริเวณนั้น เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิด เพราะจากการสอบปากคำ น.ส.ศิริรัตน์ที่นั่งมาด้วยนั้นทราบว่ามองจากในรถนั้นมองแทบไม่เห็น เห็นด่านก็เห็นเฉพาะไฟไม่เห็นเจ้าหน้าที่ แต่จริงๆมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ 4 คน ในวันเกิดเหตุ

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะชุดที่เจ้าหน้าที่ใส่สีมืดและฟิล์มติดรถนั้นหนา ซึ่งทางด่านก็เข้าใจว่ามีการแหกด่าน บางคนก็มีการใช้อาวุธจึงทำให้เกิดการสูญเสีย ส่วนกรณีที่มีชาวบ้านบางคนว่าทางเจ้าหน้าที่ด่านมีการดื่มสุราจนเมามาย จากการสอบทราบว่าบางคนมีการดื่มจริงแต่ดื่มนิดหน่อยไม่ถึงขั้นว่าเมามาก อย่างไรก็ตามคดีนี้จะต้องมีการดำเนินคดีตามกฎหมายแต่ต้องค่อยๆดำเนินการตามกฎหมายและหลักฐาน โดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดซึ่งก็กรอบการดำเนินการอยู่จะรวบรัดโดยทันทีไม่ได้เพราะต้องอาศัยพยานหลักฐานหลายอย่างประกอบกัน แม้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเมื่อกระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแม้ว่าจะปฎิบัติหน้าที่อยู่ก็ตาม