10 แลนด์มาร์คสุดว้าว เคาท์ดาวน์ปีใหม่

10 แลนด์มาร์คสุดว้าว เคาท์ดาวน์ปีใหม่

หลายคนใช้เวลาเป็นเดือนเพื่อวางแผนให้วันหยุดพักผ่อนสิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ทีมงานเสาร์สวัสดีรวบรวมสถานที่น่าสนใจมาแนะนำเพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ให้สุดปัง!

 ใกล้สิ้นปีทุกปีก็มักจะไม่เป็นอันทำอะไร บรรยากาศรอบข้างชวนให้นึกถึงวันหยุดพักผ่อนเสียเหลือเกิน หากมองในทางที่ดี...จะว่าไปปีใหม่ก็เหมือนเป็นเส้นกรอบกำหนดให้เราได้กลับมาคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ได้เรียนรู้ และสิ่งที่อยากพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น จึงเป็นธรรมเนียมให้มีการตั้ง New Year’s Resolution หรือการตั้งปณิธานสำหรับปีใหม่ เพื่อโฟกัสไปที่การเริ่มต้นเดินทางอีกครั้ง ปล่อยเรื่องร้ายให้ผ่านไปในเส้นทางเก่า แล้วมาเริ่มต้นใหม่กับเส้นทางใหม่ให้เป็นปีที่ดีกว่า

 วันที่ 31 ธันวาของทุกปีซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จึงเป็นวันที่พลังงานความสุขและความคึกคักจะคุกกรุ่นไปทั่วโลก หลายคนใช้เวลาเป็นเดือนเพื่อวางแผนให้วันหยุดพักผ่อนสิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ตามความชอบ ตามจริตและวัยของตัวเอง บางคนอาจชอบปาร์ตี้รื่นเริง หลายคนอยากปลีกวิเวกไปผ่อนคลายใกล้ชิดกับธรรมชาติ ชอบแบบไหนก็ไปแบบนั้น ทีมงานเสาร์สวัสดีรวบรวมสถานที่น่าสนใจมาแนะนำเพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ดีๆ ในปีนี้และปีต่อๆ ไป

 

1 Sonoma Valley สหรัฐอเมริกา

 หมู่บ้านเล็กๆ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโซโนมา แคลิฟอเนียร์ สหรัฐอเมริกา ห่างจากทางเหนือของซานฟรานซิสโกเป็นระยะทาง 48 กิโลเมตร ภูมิภาคนี้เป็นต้นกำเนิดอุตสาหกรรมไวน์ในรัฐแคลิฟอเนียร์ นอกจากไวน์ชั้นเลิศ ที่นี่ยังมีป่าสน ชายหาดแปซิฟิกทอดยาว 88 กิโลเมตร ทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่งดงาม และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันน่าสนใจ ท่ามกลางสภาพอากาศสบายๆ แบบเมดิเตอร์เรเนียนจึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สามารถมาพักผ่อนได้ทุกฤดูกาล เหมาะสำหรับคนที่อยากพักผ่อนในช่วงปีใหม่ด้วยความสงบ หรือหากใครอยากกางแผนที่ออกสำรวจโรงหมักไวน์ โซโลมาก็มีทัวร์ชมโรงกลั่นไวน์ชั้นดีกว่า 40 แห่ง ทั้งหมดอยู่บริเวณใกล้ๆ กันในรัศมีไม่เกิน 27 กิโลเมตร ช่วงปีใหม่โรงแรมและผู้ผลิตไวน์จะจัดปาร์ตี้พิเศษ พร้อมไวน์ขึ้นชื่อประจำถิ่นมาให้ลิ้มลองกันด้วย

 ส่วนสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ Soloma Valley มีทั้งอาคารและอนุสาวรีย์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ เพื่อการศึกษาเรียนรู้ เช่น สวนประวัติศาสตร์โซโนมา และสถานที่ปฏิวัติ Bear Flag Revolt ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการครอบครองแคลิฟอร์เนียจากเดิมเป็นของเม็กซิโกมาเป็นสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมี Fort Ross ปราการด่านหน้าของรัสเซียที่อยู่ใต้สุดในอเมริกาเหนือ พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ Petaluma สถานที่เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางการเกษตรของพื้นที่ รวมไปถึงเรื่องราวที่ทำให้เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ตะกร้าไข่ไก่ของโลก”

 

2 ปราสาทนครวัดนครธม กัมพูชา 

 เทวสถานขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยทะเลสาบตามคติความเชื่อโบราณ สถานที่ที่คนไทยอาจมองข้ามไปเพราะอยู่ใกล้แค่เอื้อม ความสง่างามของสถาปัตยกรรมเขมรแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของพระเจ้าสิริยวรมันที่ 2 ใช้เวลาสร้างราว 100 ปี อาศัยช่างแกะสลักลวดลายมากถึง 5 พันคน การก่อสร้างใช้ทั้งคนและช้างลากจูงหินขนาดใหญ่ทั้งหมดมาประกอบกัน Arnold Joseph Toynbee นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีชาวอังกฤษ กล่าวหลังมาเยือนนครวัดว่า “See Angkor and die.” เพื่อเปรียบเทียบว่าในชีวิตหนึ่งหากได้มาเห็นนครวัดนครธมด้วยตาตัวเองก็เหมือนคุ้มค่าแล้วที่ได้เกิดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวปราสาทตั้งตระหง่านรับแสงพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าเป็นภาพอันน่าตรึงตาตรึงใจจนแทบหยุดหายใจ อย่างไรก็ตาม เสียมราฐไม่ได้มีแค่นครวัดนครธม สำหรับค่ำคืนฉลองต้อนรับเข้าสู่ปีใหม่บริเวณใจกลางเมืองจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองเล็กๆ ในย่าน Pub Street ให้ได้กินดื่มเต็มอิ่มกับบรรยากาศรอบตัว

 

3 Piazza San Marco อิตาลี

 จัตุรัสสาธารณะกลางเมืองเวนิซ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ St Mark’s Square วันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ถือเป็นวันพิเศษวันหนึ่งที่ชาวอิตาลีจะออกมาเฉลิมฉลอง St Sylvester’s Feast Day เมืองเวนิซช่วงปีใหม่จึงค่อนข้างคึกคัก ร้านอาหารและคาเฟ่ต่างๆ สร้างสรรค์เมนูพิเศษสำหรับเทศกาลนี้โดยเฉพาะ แม้เวนิซเป็นเมืองเป้าหมายที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกอยู่แล้ว แต่การใช้เวลาช่วงปีใหม่ในเวนิซ เพื่อชื่นชมความสง่างามของมหาวิหารเซนต์มาร์ก หอระฆัง Campanile ที่ตั้งสูงเป็นจุดเด่นช่วยบอกเวลา ท่ามกลางสถาปัตยกรรมกอธิค เป็นเสน่ห์อันน่าหลงใหลเหนือการเวลา 

 หากมีใจอยากซึมซับการฉลองปีใหม่ร่วมกับคนแปลกหน้าและไม่กลัวว่าจะโดนจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว ก็ต้องเจาะจงไปจัตุรัสกลางแจ้ง St Mark’s Square ที่ชาวเวนิซเรียกว่า El Piazza ซึ่งเป็น Love Event ที่จะมีการจุดพลุและเป็นธรรมเนียมว่าต้องจูบกันท่ามกลางฉากหลังจากแสงสว่างไสวของดอกไม้ไฟ ว่าไปแล้วน่าจะเหมาะกับคนมีคู่มากกว่า ส่วนคนโสดก็รอชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าตรงอ่าวเมืองเวนิซไปก็แล้วกัน

 

4 ท่าเรือเมือง Auckland นิวซีแลนด์ 

 Lonely Planet สื่อด้านการท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Lonely Planet เชื่อว่า Auckland จะเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมในปี 2018 สำหรับคนที่ต้องการหลีกหนีจากแสงสีอลังการจัดเต็มในเมืองใหญ่มาเจอจุดกึ่งกลาง ที่ไม่ถึงกับเงียบสงบแต่ก็ไม่อึกทึกพลุกพล่านเสียจนวุ่นวาย เมือง Auckland ประเทศนิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆ ในโลกที่จะได้ฉลองปีใหม่ก่อนใคร Auckland ได้ชื่อว่าเป็น “City of Sails” หรือ นครแห่งการแล่นเรือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ปีนี้มีการจัดงาน Wondergarden Festival บริเวณ Silo Park ใน Wynyard Quarter จากจุดนี้จะได้เห็นเรือยอร์ชจอดเรียงรายเป็นจุดเด่นและ SKY Tower สัญลักษณ์ของเมืองเป็นแบ็คกราวด์เบื้องหลังงาน หากมาฉลองปีใหม่ที่นี่ก็จะได้บรรยากาศการแสดงไฟ จิบไวน์ เคล้าคลอไปกับเสียงดนตรีแจ๊สและการเต้นรำ

 

5 Reykjavik ไอซ์แลนด์ 

 สำหรับคนที่อยู่ในโซนยุโรปหรือไปเที่ยวฉลองปีใหม่โซนยุโรป แต่อยากหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่อย่างปารีสและลอนดอน ที่นี่เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ช่วงเวลากลางวันเพียง 4 ชั่วโมงในหน้าหนาวน่าจะเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับการเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่กับค่ำคืนที่ยาวนานกว่าใคร แน่นอนว่าไอซ์แลนด์ช่วงปลายปีนั้นหนาวมาก ด้วยเหตุนี้ชาวเมืองจึงมีประเพณีก่อกองไฟของชุมชนจากฟืนที่เก็บสะสมไว้ช่วงปีที่ผ่านมา ถือเป็นสัญลักษณ์และความเชื่อหนึ่งว่าจะเป็นการขจัดปัญหาและอุปสรรคในชีวิตจากปีที่กำลังผ่านพ้นไป นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรี การร้องรำทำเพลงและการจุดพลุจากส่วนต่างๆ ของเมือง ท้องฟ้าสีดำเข้มเพราะแทบไม่มีแสงไฟจากบ้านเรือนรบกวน เผยให้เห็นสีสันบนท้องฟ้าจากพลุไฟเหมือนได้ระบายสีลงไปบนกระดาษ

 

6 Lofoten Islands นอร์เวย์ 

 เคาท์ดาวน์ตามล่าหาแสงเหนือกับสถานที่ซึ่งเป็นโมเดลต้นแบบแห่งอาณาจักรเจ้าหญิงน้ำแข็งแอลซ่า เกาะนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Nordland ของนอร์เวย์ เป็นหมู่บ้านชาวประมง แน่นอนว่าชาวเมืองประกอบอาชีพหาปลาเป็นหลักในทุกฤดูกาล จนได้เป็นผลผลิตขึ้นชื่อเป็น ปลาตากแห้งส่งออก สภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศในช่วงฤดูหนาวซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด ทำให้ Lofoten ดูเหมือนเป็นเมืองในเทพนิยายมากกว่าความจริง ท้องฟ้าใส น้ำสีฟ้าคราม และความสง่างามของภูเขาที่เห็นในตอนกลางวัน และสีสันของไฟสลัวๆ ยามค่ำคืน รวมทั้งแสงเหนือความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่หากโชคดีก็จะปรากฎให้เห็น ทำให้สถานที่แห่งนี้ เหมาะสำหรับการมาเยี่ยมเยือนเพื่อรับพลังจากธรรมชาติก่อนจะเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ปีใหม่อย่างแท้จริง

 

7 Cappadocia ตุรกี 

 ประเทศที่มีอยู่ทั้งฝั่งเอเชียและยุโรป ล้อมรอบด้วยทะเล 3 ด้าน ธรรมชาติสร้างสรรค์ภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์จากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้ลาวาไหลออกมาปกคลุมและถูกกดกร่อนด้วยฝีมือของธรรมชาติจนกลายเป็นงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซ อีกทั้งยังเป็นดินแดนที่มีอารยธรรมเก่าแก่มายาวนานนับพันปี ปีใหม่ทั้งทีอยากทำอะไรแบบเอ็กซตรีมก็ต้องลองขึ้นไปฉลองรับปีใหม่เหนือพื้นดินด้วยการล่องบอลลูน น่าจะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ทำให้หัวใจพองโตยิ่งกว่าบอลลูนไปเลยก็ได้

 

8 Hida-Takayama ญี่ปุ่น 

 เปลี่ยนบรรยากาศมาสโลไลฟ์ที่ญี่ปุ่นกันบ้าง บางครั้งความสุขก็อาจเกิดขึ้นง่ายๆ จากการได้กินราเมงชามอร่อย ไปพร้อมๆ กับการจิบสาเก Hida-Takayama เป็นเมืองชนบทเล็กๆ ที่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 18 เห็นได้จากตึกรามบ้านช่องและวัดวาโบราณทั่วทั้งเมือง เมืองฮิดะตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าเป็นธรรมเนียมของชาวเมืองที่จะแวะไปยังวัดเพื่อดีระฆังเป็นสัญญาณรับปีใหม่ หากใครเคร่งครัดในขนบธรรมเนียมก็จะอยู่รอแสงแรกของเช้าวันใหม่ เพื่ออธิษฐานต่อพระอาทิตย์ให้มีชีวิตที่สว่างไสวไปทั้งปี นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมการกินโซบะ ‘toshikoshi’ ซึ่งชื่อโซบะมีความหมายถึง การก้าวข้ามผ่านปีเก่าด้วยดีและมีชีวิตที่ยืนยาวอีกด้วย

 

9 ฮ่องกง 

 ปีใหม่ไม่อยากไปไหนไกล ฮ่องกงยังเป็นตัวเลือกที่ครบครันสำหรับความสะดวกสบาย สีสันความคึกคัก แต่ยังสามารถหามุมปลีกวิเวกได้ เกาะแห่งนี้เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความผสมผสานทางวัฒนธรรมจากผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ สำหรับปีนี้เทศกาลเฉลิมฉลองแบบจัดหนักจัดเต็มทั้งเกาะ ทั้งดนตรี การแสดงไฟแสงสีเสียงและพลุไฟตระการตาแบบ Musical Fireworks โดยมี Chiu Tsang-hei นักประพันธ์เพลงท้องถิ่นเป็นผู้อำนวยการผลิต การจัดแสดงไฟอยู่บริเวณอ่าว Victoria Harbour ตลอดระยะรอบอ่าวประมาณ 1.1 กิโลเมตร เป็นเวลาต่อเนื่องราว 10 นาที แต่หากอยากหลีกเลี่ยงจากผู้คนแออัดแน่นขนัด ก็สามารถเดินป่าขึ้นไปแคมปิ้งตั้งเตาย่างบาร์บีคิวกันบนเขาได้บรรยากาศไปอีกแบบ

 

10 ดอยหลวงเชียงดาว ไทย 

 อีกหนึ่งสถานที่ที่ดีที่สุดในคืนข้ามปี คุณสามารถนั่งมองแสงสุดท้ายและตื่นขึ้นมารอรับแสงแรกในอ้อมกอดของขุนเขาเมฆหมอก ยอดดอยหลวงเชียงดาวสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย รองจากดอยอินทนนท์ และดอยผ้าห่มปก ด้วยความสูงประมาณ 2,195 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว จากยอดดอยสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเทือกเขาที่ไล่ระดับกันรอบด้าน ที่นี่ยังถือเป็นสถานที่ที่ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด เป็นเส้นทางท่องเที่ยวแบบการเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เนื่องจากยังอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้หายากมากมาย เช่น กุหลาบเชียงดาว ค้อดอยเชียงดาว และกล้วยไม้สิริธร เป็นต้น 

 ไฮไลท์อยู่ที่ดอกชมพูเชียงดาว พืชล้มลุก ดอกสีชมพูเข้มลักษณะคล้ายแตรเล็กๆ เรียงเป็นชั้นซึ่งพบได้บนยอดดอยเชียงดาวเพียงแห่งเดียวในโลก ปีใหม่บนยอดดอยเชียงดาว นอกจากมานอนนับดาว ดูหมอก สัมผัสอากาศหนาวแล้วยังได้พักผ่อนใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม

 10 สถานที่ จากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป น่าจะช่วยเติมแรงกายแรงใจให้ชาร์จแบตเริ่มต้นปีใหม่ได้อย่างเต็มกำลัง อย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญที่สุด คือ การทำให้ทุกวันเป็นวันที่มีคุณค่าและมีความหมาย แล้วทุกวันจะเป็นวันใหม่ที่ดีได้เสมอ “Make every day count”...

----

‘วันปีใหม่’ ใครกำหนด

 ความเป็นมาของวันปีใหม่ อาจจะนับจุดตั้งต้นตั้งแต่ชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี

 ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไขอีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้น จนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน และในวันที่ 21 มีนาคมของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน เรียกว่า Equinox in March

 แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา