คาดหุ้นไทย 'รีบาวด์' ช่วงสั้น

คาดหุ้นไทย 'รีบาวด์' ช่วงสั้น

โบรกลุ้น "หุ้นไทยวันนี้" ดีดกลับส่งท้ายปี แนะทยอยขายทำกำไรหากหุ้นรีบาวด์

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่าแรงดีดกลับช่วงท้ายตลาดของวานนี้ทำให้ยังมีความหวังโดยดัชนีแกว่ง Sideway Down ตลอดทั้งวันในช่วงปลายตลาดเกิดแรงขายหนักทำให้ดัชนีหลุดแนวรับ EMA5วันที่ 1747 แต่ได้เกิดแรง Rebound ช่วงก่อนตลาดปิดเล็กน้อย

ขณะนี้ดัชนีปิดบริเวณใกล้กับ EMA5วัน และ MACD ยังไม่ตัดลง ภายในวันดูแนวรับแรกที่ 1740 หากไม่หลุดยังคงลุ้นการดีดตัวกลับได้ มองแนวต้านที่ 1747 และ 1753 แต่หากหลุด 1740 จะมีโอกาสแกว่งลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1730 

กลยุทธ์การลงทุน 1) มีหุ้น : หาก Rebound อาจทยอยขายทำกำไรบางส่วนที่แนวต้านแล้วรอดูแนวโน้ม 2) ไม่มีหุ้น : หากอ่อนตัวไม่หลุดแนวรับ 1740 มองเป็นโอกาสซื้อเพื่อ Trading ระหว่างวัน 

ประเมินแนวรับที่ 1740, 1730 จุดและแนวต้านที่ 1747, 1753 จุด

สรุปการลงทุนปี 2560  SET ปรับตัวขึ้นประมาณ 13% (ค่าเฉลี่ย MSCI Asia Pacific Ex. Japan ปรับตัวเพิ่มขึ้น 31.8% ในขณะที่กลุ่ม TIP ปรับขึ้นเฉลี่ย 18%) โดย 5 หุ้นหลักที่เป็นตัวขับเคลื่อนดัชนีได้แก่ AOT, PTT, KBANK, ADVANC และ CPALL รวมส่งผลให้ SET ปรับตัวขึ้นสูงกว่า 110 จุด หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 50% ในขณะที่หุ้นที่กดดัชนีได้แก่ GL, TRUE, CPF, BLA และ KCE

โดยปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนหลายตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวขึ้นทดสอบระดับสูงสุด ได้แก่ 1) การฟื้นตัวของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจโลก (GDP) ที่เติบโตพร้อมๆกันทั่วโลกทั้งจากฝั่งสหรัฐ , ยุโรป และเอเชีย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกภายหลังจากเกิด Subprime Crisis ในปี 2551 โดยเศรษฐกิจประเทศไทยได้ประโยชน์ทางอ้อมจากประเด็นดังกล่าวผ่านช่องทางการส่งออก ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในระดับ 3.8%-4.0% สูงที่สุดในรอบ 18 ไตรมาส  

2) การฟื้นตัวของภาคการบริโภคในประเทศสะท้อนผ่านรายได้เฉลี่ยต่อสาขา (SSSG%) ของหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เช่น BIGC, HMPRO, CPALL, M ที่พลิกกลับมาทำระดับสูงสุดในรอบหลายไตรมาส

และ 3) การปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นผลมาจากทั้ง Demand (เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว) และฝั่ง Supply (OPEC ขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปถึงปลายปี 2561) เป็นผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเฉลี่ยประมาณ 15% ส่งผลทางอ้อมให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นเกือบ 20%