Wakkanai มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

 Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ลัดเลาะดินแดนเหนือสุดของเกาะฮอกไกโดก่อนหิมะตก

ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะที่อยู่เหนือสุดและมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น มีทั้งความเจริญแบบเมืองใหญ่ และสภาพภูมิประเทศที่ยังสมบูรณ์สูงสุดด้วยความงามตามธรรมชาติหลายรูปแบบ เป็นเสน่ห์ในแบบที่ทั้งตรึงใจ และในแบบลึกลับชวนผจญภัย

ด้วยความที่ตั้งอยู่เหนือสุด ฮอกไกโดจึงเป็นดินแดนที่อากาศเย็นที่สุดของญี่ปุ่น ฤดูร้อนเดือนสิงหาคม ฮอกไกโดต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความเย็นเฉลี่ย 17 ถึง 22 องศาเซลเซียส และมอบหิมะกับความเย็น -12 ถึง -4 องศาเซลเซียสในช่วงฤดูหนาวเดือนมกราคม และหนาวสุดๆ อุณหภูมิเคยลงไปที่ -41 องศาเซลเซียส ขณะที่บริเวณด้านตะวันตกของเกาะจะอบอุ่นกว่าเล็กน้อย

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ท้องฟ้าเหนือทะเลก่อนเข้าสู่ภาคพื้นดินของเกาะฮอกไกโด

ชื่อเมืองในฮอกไกโดอาจฟังไม่คุ้นหูเหมือนภาษาญี่ปุ่นที่คนไทยคุ้นเคย เนื่องจากชนพื้นเมืองดั้งเดิมของฮอกไกโดคือชาว ไอนุ (Ainu) ชื่อเมืองต่างๆ บนเกาะฮอกไกโดกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นภาษาไอนุ เช่นเดียวกับชื่อฮอกไกโดก็เป็นภาษาไอนุ มีความหมายว่า ‘มุ่งหน้าสู่ทะเลเหนือ’

มีอะไรซ่อนอยู่ภายในดินแดนเหนือสุดของญี่ปุ่นแห่งนี้

++ วักกะไน : เหนือสุดของเหนือสุด ++

ฮอกไกโด เป็นทั้งชื่อเกาะและชื่อจังหวัด (prefecture) ภายในจังหวัดแบ่งเป็น ‘เมือง’ ต่างๆ และ วักกะไน (Wakkanai) ก็คือเมืองที่ตั้งอยู่เหนือสุดของเกาะฮอกไกโดอีกที ในภาษาไอนุ วักกะไนมีความหมายว่า ‘แม่น้ำหนาว’

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

เครื่องบินภายในประเทศญี่ปุ่นจากสนามบิน นิว ชิโตเสะ ไปสนามบินวักกะไน

จากสนามบินสุวรรณภูมิ มีเครื่อง ‘การบินไทย’ บินไปลงที่สนามบิน นิว ชิโตเสะ (New Chitose) บนเกาะฮอกไกโด จากนั้นต่อเครื่องสายการบินภายในประเทศญี่ปุ่นบินไปลงยังสนามบินวักกะไน (Wakkania Airport)

เมืองนี้มี ‘แมวน้ำลายจุด’ จำนวนมากอยู่ตามท่าเรือ และเป็นเมืองที่มีสาหร่ายทะเล ริชิริ(Rishiri)อุดมสมบูรณ์ ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นระดับไฮเอนด์เลือกใช้สาหร่ายชนิดนี้เท่านั้นในการทำน้ำซุปดาชิ

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

แมสคอตและตุ๊กตา ‘ดาชิโนะซูเกะ’ รอต้อนรับภายในสนามบินวักกะไน

สมาคมการท่องเที่ยววักกะไนจึงเลือก ‘แมวน้ำ’ เป็นแมสคอตเพื่อประชาสัมพันธ์เมือง ตั้งชื่อว่า ดาชิโนะซูเกะ (Dashinosuke) โดยออกแบบให้ลำตัวท่อนล่างกลายเป็นสาหร่ายริชิริ เพราะมันกินสาหร่ายชนิดนี้มากเกินไป ทั้งน่ารักและเล่าเรื่องเมืองได้ในตัว

สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น หรือสุดขอบเกาะญี่ปุ่นด้านทิศเหนือจริงๆ คือ แหลมโซยะ (Cape Soya) หรือ Suoya Misaki มีประติมากรรมสัญลักษณ์แสดงว่าบริเวณนี้คือจุดเหนือสุดของญี่ปุ่น หรือ Japan's Northernmost Point Monument ตั้งอยู่ที่พิกัด 45 องศา 31 ลิปดา 22 ฟิลิปดา (กรุงโตเกียวตั้งอยู่ที่พิกัด 35 องศา) กล่าวได้ว่าเป็นอาณาเขตญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้ประเทศรัสเซียมากที่สุด ถ้าอากาศดีจะมองเห็นชายฝั่งเกาะซาฮาลิน (Sakhalin) ของรัสเซียที่อยู่ห่างออกไป 43 กิโลเมตร

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ประติมากรรมสัญลักษณ์แสดงว่าบริเวณนี้คือจุดเหนือสุดของญี่ปุ่น หรือ Japan'sNorthernmost Point Monument

ใกล้กันมีรูปปั้นของนักสำรวจชาวญี่ปุ่น มร.มามิยะ รินโซ (Mamiya Rinzo) ซึ่งได้รับคำสั่งจากโชกุนให้สำรวจดินแดนทางตอนเหนือของญี่ปุ่นในสมัยเอโดะ โดยในปีพ.ศ.2352 เขาคือผู้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วซาฮาลินมีลักษณะเป็นเกาะ ถือเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากช่วยเติมเต็มการทำแผนที่โลกในช่วงเวลานั้น ชื่อของเขาจึงได้รับเกียรติให้ตั้งเป็นชื่อช่องแคบระหว่างเกาะซาฮาลินและแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียตราบจนทุกวันนี้ว่า ช่องแคบมามิยะ (Mamiya Strait)

การไปเยือนแหลมโซยะ จึงเปรียบเสมือนคุณได้ไปยืนอยู่ ณ ตำแหน่งเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น

++ ลิ้มรสชาติหอยเชลล์ฮอกไกโด ++

มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะวัตถุดิบชั้นยอด ตั้งแต่ภัตตาคารอาหารจีนสุดหรูไปจนถึงร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ต่างเรียกหา หอยเชลล์ฮอกไกโด  (Hokkaido Scallops) หรือ ฮอกไกโด โฮตาเดะ (Hokkaido Hotate) มาเป็นวัตถุดิบเพื่อนำเสนอความเป็นสุดยอดร้านอาหาร

แหล่งผลิตหอยเชลล์ที่มีคุณภาพและจับได้มากที่สุดของฮอกไกโดอยู่ที่ หมู่บ้าน ซารุฟุสึ (Sarufutsu Village) หมู่บ้านนี้มีประชากรจำนวน 2,753 คน ส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นเกษตรกร และเกษตรกรที่เลี้ยงหอยเชลล์และเลี้ยงวัวล้วนเป็นมหาเศรษฐี

อย่างที่บอก ฮอกไกโดเป็นเกาะที่มีความเป็นธรรมชาติสูง อากาศดี ผู้บริหารจังหวัดเอาใจใส่และมีมาตรการเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อม ทั่วทั้งเกาะฮอกไกโดไม่มีโรงงานเครื่องจักรหนัก อนุญาตให้เฉพาะโรงผลิตเบียร์เท่านั้น เนื่องจากที่นี่ได้รับการยอมรับว่ามี ‘น้ำ’ ที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่น เพราะเป็นน้ำแร่มาจากภูเขา วัตถุดิบสำคัญของการผลิตเบียร์นั่นเอง 

มาตรการที่เข้มงวดส่งผลถึงความสะอาดของทะเลฮอกไกโดซึ่งมีน้ำเย็นจัดตลอดปี เหมาะสำหรับการเลี้ยงหอยเชลล์ 

ครอบครัวชาวประมงของหมู่บ้านซารุฟุสึตกลงร่วมกันที่จะจับหอยเชลล์อายุอย่างน้อย 5 ปี ด้วยเหตุนี้หอยเชลล์ฮอกไกโดที่เป็นผลผลิตจากหมู่บ้านนี้จึงมีตัวใหญ่กว่าหอยเชลล์แหล่งอื่นๆ ที่แค่เพียง 3 ปีก็จับขึ้นมาขายกันแล้ว รวมทั้งทำราคาได้ดีกว่า

ชาวประมงที่จับหอยเชลล์ขาย มีรายได้คนละ 20 ล้านเยน/คน/ปี หรือราวคนละ 6 ล้านบาท/ปี

ทางการไม่ได้กำหนดจำนวนการจับหอยเชลล์ ชาวประมงจับหอยเชลล์มากเท่าใดก็ได้ตามที่แต่ละครอบครัวเลี้ยงไว้ และจับได้ตลอดทั้งปี เพียงแต่จะมีหอยเชลล์อายุ 5 ปีหรือไม่เท่านั้นเอง

แต่มาตรการที่ใช้ควบคุมคือ แต่ละครอบครัว จะมีเพียงบุตรชายคนโตและคนรองเท่านั้นที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จึงจะสามารถประกอบอาชีพการจับหอยเชลล์ได้ 

เท่ากับควบคุมการจับและจำกัดจำนวนการเก็บหอยเชลล์ขึ้นมาขายไปในตัว

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

เมนู คานิโต โฮตาเตะ ด้ง (Kanito Hotate Don) และ มร.โคมัตสึ ทาคากิ (Komatsu Takaki)

ที่จุดพักรถระหว่างทางที่ผ่านหมู่บ้านซารุฟุสึ นักท่องเที่ยวสามารถลิ้มลองรสชาติหอยเชลล์ฮอกไกโดสดๆ ได้ที่ร้าน ซารุฟุสึ มารุโกโตะคัง (Sarufutsu Marugotokan) เจ้าของร้านคือ มร.โคมัตสึ ทาคากิ (Komatsu Takaki) เป็นชาวประมงจับปลาแซลมอน แต่มีเพื่อนสนิทจับหอยเชลล์ จึงเปิดร้านอาหารแล้วนำหอยเชลล์จากเพื่อนสนิทมาขาย

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ร้าน ซารุฟุสึ มารุโกโตะคัง

ร้านหอยเชลล์ของมร.โคมัตสึสร้างประสบการณ์สนุกๆ ให้กับนักชิม ตั้งแต่เลือกหอยเชลล์ตัวเป็นๆ ด้วยตัวเองจากตู้เลี้ยงหอยเชลล์ เคล็ดลับการเลือกไม่มีอะไรมาก เจ้าของร้านบอกเลือกตัวที่ใหญ่ที่สุดในตู้

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

หอยเชลล์ฮอกไกโด ร้าน ซารุฟุสึ มารุโกโตะคัง

เมื่อเลือกได้แล้ว มร.โคมัตสึแจกถุงมือยางและอุปกรณ์แซะหอย พร้อมสาธิตวิธีการแซะตัวหอยเชลล์ออกมาจากเปลือกอันแข็งและหนา แล้วให้เราทำด้วยตัวเอง ไม่ยากอย่างที่คิด

ที่โต๊ะอาหารมีเซตเตาเล็กๆ พร้อมเนยฮอกไกโด และโชยุจากเกาะชิโกกุ(Shikoku) ที่เจ้าของร้านบอกว่ารสชาติเหมาะสำหรับการย่างหอยเชลล์

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

วิธีกินคือ วางฝาหอยที่มีเนื้อหอยเชลล์ล้างสะอาดแล้วบนเตา พอย่างไปสักพักก็หยิบเนยวางบนตัวหอย ย่างให้สุกตามต้องการแล้ว...ชิม ส่วนอีกตัวหนึ่งก็เปลี่ยนจากเนยเป็นโชยุ การกินหอยเชลล์แบบนี้ราคาตัวละ 350 เยน

ร้านนี้ยังมีอาหารชุดให้เลือกด้วย ที่ได้ชิมคือ คานิโต โฮตาเตะ ด้ง (Kanito Hotate Don) คือข้าวญี่ปุ่นหน้าหอยเชลล์ ปูขน และไข่แซลมอน รวมวัตถุดิบขึ้นชื่อของซารุฟุสึ และมิโซซุปอีก 1 ถ้วย ทั้งหมดราคา 1,200 เยน อิ่มอร่อยมีความสุข

ด้วยความที่ฮอกไกโดเป็นแหล่งใหญ่ในการผลิตหอยเชลล์ จึงมีเปลือกหอยจำนวนมากและทำให้เกิดสถานที่ Unseen อีกแห่งของวักกะไน นั่นก็คือ โซยะ คิวเรียว (Soya Kyuryo) รู้จักกันในชื่อ ‘เส้นทางสีขาว’ เป็นเส้นทางเล็กๆ ขนาดเลนเดียว ปูด้วยเปลือกหอยเชลล์บดละเอียดสีขาวขนาบด้วยยอดหญ้าและพุ่มไม้สีเขียวตลอดทางยาวเป็นระยะกว่า 3 กิโลเมตร มุ่งหน้าสู่อ่าวโซยะที่มีทะเลญี่ปุ่นสีครามอยู่ตรงหน้า ยิ่งถ้าช่วงอากาศดีๆ เจ้าถิ่นบอก จะได้เห็นวิวภูเขาไฟริชิริ หรือ ริชิริฟูจิ (Rishiri-Fuji) แสนจะโรแมนติก

++ ทางเดินป่า-ถ้ำหินปูน ++

วักกะไนมีอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ประกอบกับพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นการเกษตรและคงความเป็นธรรมชาติของป่าไม้ คู่มือท่องเที่ยวระบุว่า เราสามารถพบกวาง สุนัขจิ้งจอก ริมเส้นทางถนนที่เชื่อมหมู่บ้านต่างในวักกะไน

หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่ขึ้นชื่อของฮอกไกโดคือ ถ้ำหินปูนนาคะทอมเบะสึ (Nakatombetsu Limestone Caves) ถือเป็นถ้ำหินปูนที่เก่าแก่ที่สุดที่ถูกค้นพบในฮอกไกโด ตั้งอยู่ในวนอุทยานชิเซน ฟุรีไอ (Shizen Fureai Park) 

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ที่ทำการวนอุทยาน Shizen Fureai และอุปกรณ์ทำเสียงดังเพื่อไล่หมีขณะใช้เส้นทางเดินป่า

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

มร.มิระ ซึโยชิ อธิบายเส้นทางก่อนพาออกสำรวจเส้นทางธรรมชาติ

ระหว่างเดินลัดเลาะไปตามแนวป่าจากที่ทำการวนอุทยานไปยังถ้ำหินปูน มร.มิระ ซึโยชิ (Miura Tsuyoshi) มัคคุเทศก์และเจ้าหน้าที่อำเภอ เล่าถึงจุดเด่นของสถานที่แห่งนี้ให้ฟังว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นนิยมมาเดินป่า มีเส้นทางเดินป่าให้เลือกหลายแบบและหลายระยะทาง เนื่องจากป่ามีความอุดมสมบูรณ์และมีพันธุ์ไม้มากมาย สัตว์ป่าที่พบเห็นได้บ่อยๆ ระหว่างทางคือ กระรอกป่า และตามพื้นดินยังสามารถพบรอยเท้าของสัตว์ป่า เช่น สุนัขจิ้งจอก กระรอก หรือแม้กระทั่ง หมี ดังนั้นที่ทำการของวนอุทยานจึงเตรียมอุปกรณ์สร้างเสียงต่างๆ เพื่อไล่หมี ไว้ให้นักเดินป่าได้หยิบยืม

ถ้ำหินปูนนาคะทอมเบะสึ เกิดขึ้นจากน้ำฝนที่ค่อยๆ กัดกร่อนหินปูนไหลหยดลงมาจนเกิดเป็นโพรงถ้ำตั้งแต่มหายุคซีโนโซอิก หรืออายุกว่า 2 ล้าน 6 แสนปีก่อน ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าหาดูได้ยาก

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ภาพกราฟิกภายในถ้ำหินปูนนาคะทอมเบะสึ

ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำตัน เดินเข้าไปแล้วต้องเดินออกมาทางเดิม ก่อนเข้าไปชมความสวยงามของลวดลายหินปูนภายในถ้ำ ต้องสวมหมวกนิรภัย เนื่องจากทางเดินภายในถ้ำมีหลายช่วงที่เพดานถ้ำต่ำมาก ต้องระวังศีรษะกระแทกโดยไม่รู้ตัว และบางช่วงเพดานก็ต่ำจนเหลือพื้นที่นิดเดียว ต้องก้มตัวเดิน แทบจะคลานก็ว่าได้ ช่วงที่ต้องไต่ขึ้นตามระดับความสูงของถ้ำ จัดทำขั้นบันไดอำนวยความสะดวกพร้อมติดตั้งแสงไฟส่องสว่างตามความจำเป็น นักผจญภัยมือสมัครเล่นน่าจะชอบถ้ำนี้

ความสวยงามของวนอุทยานแห่งนี้ แปรเปลี่ยนตามฤดูกาล มร.มิระบอกว่า ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน  บริเวณเนินเขาที่เห็นเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขนาดใหญ่ จะปกคลุมไปด้วยดอก พิงค์มอสสีชมพู ราวพรมผืนมหึมา

เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวเดือนธันวาคม ใบไม้ทั้งหมดจะเปลี่ยนป่าเป็นสีเหลืองแซมด้วยสีส้มเล็กน้อย แต่ใบไม้จะไม่ทันเปลี่ยนเป็นสีแดง เพราะเมื่อความหนาวจริงๆ มาเยือน ที่นี่จะหนาวมากและหนาวแบบปัจจุบันทันด่วน อุณหภูมิลดลงไปต่ำถึง -30 องศาเซลเซียส ไม่ทันที่ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีแดงก็หลุดร่วงเสียก่อน

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ปากทางขณะเดินออกจากถ้ำหินปูนนาคะทอมเบะสึ(ซ้าย), มร.มิระ ซึโยชิ เล่าว่าเดือนพฤษภาคมบริเวณนี้จะปกคลุมไปด้วยดอกพิงค์มอส

และเมื่อหิมะปกคลุมป่าทั้งผืนในเดือนมกราคมถึงมีนาคม ในวันที่ไม่มีพายุหิมะ นักท่องเที่ยวผู้หลงรักความเยือกเย็นสีขาวจะพากันมาเดินป่า แต่จากเส้นทางเดิมที่เราเดินในวันนี้ 45 นาที ก็ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็น 3 ชั่วโมง เพราะต้องเดินย่ำไปบนหิมะที่มีความหนา และต้องการรองเท้าพิเศษที่เรียกว่า Snow Shoes สำหรับเดินป่าช่วงเวลาที่ว่า

แต่ที่นี่ใบไม้ทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นแค่สีเหลือง สีส้มนิดหน่อย ไม่มีสีแดง

ดังนั้นถ้ำหินปูนแห่งนี้จึงเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปผจญภัยได้ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมเท่านั้น

++ ชาบูหมึกยักษ์ ++

อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างของวักกะไนคือ หมึกยักษ์ (Octopus) หมึกยักษ์ของวักกะไนตัวใหญ่มาก หัวหมึกมีขนาดพอๆ กับลูกฟุตบอล ไม่ต้องห่วงว่าส่วนที่นักชิมชอบ คือ ‘หนวดหมึก’ จะใหญ่ขนาดไหน 

และร้านที่มีหมึกยักษ์เป็นเมนูเด็ด ‘องค์กรการท่องเที่ยวฮอกไกโด’ แนะนำร้านนี้ คุรุมะยะ เกนจิ (Kurumaya Genji) เสิร์ฟหมึกยักษ์เป็นอาหารจานพิเศษในเซต Octopus Shabu Shabu  

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ร้าน คุรุมะยะ เกนจิ (Kurumaya Genji) และอาหารเซต Octopus Shabu Shabu  

คำว่า ‘ชาบู’ เป็นวิธีกินอาหารของชาวญี่ปุ่น หมายถึงการจุ่มในน้ำซุป 2-3 ครั้ง พ่อครัวร้านคุรุมะยะ เกนจิ สไลซ์หนวดหมึกยักษ์มาเป็นแผ่นใหญ่ๆ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มงาดำ และน้ำจิ้มโชยุ บริกรแนะนำให้แกว่งเนื้อหมึกยักษ์ในหม้อชาบู 5 ครั้งเท่านั้น เนื้อหมึกยักษ์จะสุกกำลังดี มีความหนึบ-นุ่ม ไม่แห้งกระด้าง

อาหารในเซตยังมี เนื้อปูทาราบะ และ ไข่หอยเม่นสดๆ..ที่คิดแต่แรกก่อนเดินทางว่าจะขออนุญาตยกให้ผู้ร่วมโต๊ะ เพราะไม่ถนัดกับความครีมมี่และกลิ่น แต่เมื่อได้ชิมจริงๆ หาได้แบ่งให้ผู้ร่วมโต๊ะท่านอื่นไม่ กินไม่มีเหลือทั้งไข่หอยเม่นสดๆ ในกระจาด และข้าวญี่ปุ่นอีกหนึ่งถ้วยที่โรยหน้าด้วยไข่แซลมอนเม็ดโตและ ‘ไข่หอยเม่น’

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ไข่หอยเม่นและหมึกยักษ์สไลซ์ ร้าน คุรุมะยะ เกนจิ

Wakkanai  มนต์เสน่ห์ในดินแดนเหนือสุดแห่งเกาะฮอกไกโด (ตอน 1)

ขาปูทาราบะและข้าวหน้าไข่หอยเม่น-ไข่ปลาแซลมอน ร้าน คุรุมะยะ เกนจิ

ปิดท้ายเซตด้วย ‘ราเมง’ ให้จุ่มในน้ำซุป เห็นบริกรยกชามราเมง(สำหรับ 4 คน)มาทีแรกก็ตกใจ อิ่มมาก กินไม่ไหวแล้ว แต่พอกัดราเมงเข้าปากคำแรก เส้นเหนียวนุ่มมีรสชาติหน่อย จากที่คิดว่าต้องเหลือค้างชาม จึงกลายเป็นเกลี้ยงชามไม่มีเหลือ

หมึกยักษ์ ชาบู ชาบู เซตนี้ราคา 4,500 เยน/คน ไม่รวมเครื่องดื่ม 

และไม่น่าเชื่อว่าจะได้กินของอร่อยชั้นยอดเช่นนี้