สานพลังประชารัฐ สร้างมูลค่า‘นม-โค’

สานพลังประชารัฐ สร้างมูลค่า‘นม-โค’

วัวพันธุ์ใหม่ทนอากาศร้อน, เทคโนโลยีการผลิตแบบไม่ผ่านความร้อน, น้ำนมโภชนาการสูง เป้าหมายความร่วมมือระหว่าง สวทน. อ.ส.ค. และเคซีจี เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับคลัสเตอร์โคนมและผลิตภัณฑ์นม ครอบคลุมต้นน้ำ-ปลายน้ำ

วัวพันธุ์ใหม่ทนอากาศร้อน, เทคโนโลยีการผลิตแบบไม่ผ่านความร้อน, น้ำนมโภชนาการสูง คือเป้าหมายจากความร่วมมือระหว่าง สวทน. อ.ส.ค. และเคซีจี เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับคลัสเตอร์โคนมและผลิตภัณฑ์นม ครอบคลุมต้นน้ำ-ปลายน้ำ เตรียมพร้อมรับมือเอฟทีเอใน 3 ปีข้างหน้า

ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม 1.6 แสนครัวเรือน มีรายได้จากการขายน้ำนม 1.60 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันก็ได้นำเข้าผลิตภัณฑ์จากนม 1.2 หมื่นล้านบาท และมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์จากนม 6 พันล้านบาท แต่ในปี 2563 เมื่อมีการเปิดเสรีทางการค้า (เอฟทีเอ) ซึ่งรวมถึงการเข้ามาของคู่แข่งต่างชาติ จะส่งผลให้ตลาดนี้มีการแข่งขันเข้มข้นขึ้น

ผนึกกำลังต้นน้ำ-ปลายน้ำ

กิติพงค์ พร้อมวงค์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าวจึงให้การสนับสนุนคลัสเตอร์อุตสาหกรรมโคนมและผลิตภัณฑ์นม เริ่มตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ การเลี้ยง คุณภาพน้ำนม สร้างวัตถุดิบที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการ ลดการนำเข้าวัตถุดิบหรือเพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์ รวมถึงสร้างนวัตกรรมที่หลากหลายให้ผลิตภัณฑ์นม โดยเฉพาะในตลาดนมออร์แกนิคเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น

การลงนามความร่วมมือนี้ จึงเป็นเสมือนการสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมโคนมและผลิตภัณฑ์จากนมตลอดห่วงโซ่อุปทาน จนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง อาทิ ฟังก์ชั่นนัลมิลค์ หรือนมเสริมสารอาหาร โดยใช้งานวิจัยที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัยมาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การพัฒนาคุณภาพน้ำนม สร้างวัตถุดิบที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการ เพื่อลดการนำเข้า และเพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์นมไปยังต่างประเทศมากขึ้น


ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของอุตสาหกรรมอาหารด้านการวิจัยและพัฒนานมและผลิตภัณฑ์จากนมโคสดแท้ เพื่อพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมมูลค่าสูง มีมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคตลอดจนตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลก

ทั้งนี้ อ.ส.ค.ได้ร่วมกับเคซีจี คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตเนยและชีส ตราอิมพีเรียลและอลาวรี่ ได้นำน้ำนมออร์แกนิคไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์และทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือเป็นการทำงานร่วมกันแบบครบวงจร จากที่ผ่านมามีความพยายามในการพัฒนาพันธุ์วัวทนร้อนให้ปริมาณน้ำนมมาก บางส่วนประสบความสำเร็จแต่บางส่วนยังอยู่ในกระบวนการพัฒนา เนื่องจากข้อจำกัดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ยังต้องอาศัยเวลาในการทดลองพิสูจน์ก่อนนำมาใช้จริง อีกทั้งต้องศึกษาในรายละเอียดก่อนตัดสินใจรับถ่ายทอดจากต่างประเทศว่า มีความคุ้มค่าและเหมาะสมเพียงใด

นมออร์แกนิคมาแรง

ขณะเดียวกันนี้ ลลานา ธีระนุสรณ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้กล่าวถึงแนวโน้มนวัตกรรมผลิตภัณฑ์จากนมว่า กระแสนมออร์แกนิคมาแรง เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและใส่ใจเกี่ยวสิ่งแวดล้อม


จากการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคยอมจ่ายเพิ่ม 10-20% เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์นมออร์แกนิคที่มีคุณภาพและมีฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับนมทั่วไป อาทิ แคลเซียมและโปรตีนมากขึ้นซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุ หรือมี โปรไบโอติก ทำให้การย่อยและดูดซึมอาหารของสำไส้ดีขึ้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์นมเหล่านี้ยังสามารถเพิ่มส่วนผสมที่เป็นผักผลไม้เข้าไว้ด้วยกันรวมถึงรสชาติ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น พร้อมกันนี้ในส่วนของกระบวนการผลิตจะมีเทคโนโลยีใหม่ ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น อาทิ เทคโนโลยีการผลิตแบบ Cold Process หรือกระบวนการผลิตที่ไม่ผ่านความร้อน เพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการของน้ำนมได้ดีขึ้น

ด้านมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน กล่าวว่า คลัสเตอร์อุตสาหกรรมโคนมและผลิตภัณฑ์นมในประเทศไทย จะสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้นั้น จำเป็นต้องผนึกกำลังกันในการบูรณาการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมนมของนิวซีแลนด์ ซึ่งใช้เวลาร่วม 100 ปีจึงประสบความสำเร็จโดยได้รับการยอมรับจากตลาดโลก ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความแข็งแกร่งและปิดจุดอ่อนที่มีอยู่เพื่อก้าวไปข้างหน้า