ศาลพระโขนงพิพากษา "ปีเตอร์ โคลเทอร์" ชาวไอร์แลนด์เหนือวัย 64 ปี ผิด 7 ข้อหา ยิงตร.-ปลอมพาสปอร์ต-ตราประทับ 52 อัน แถมซุกศพนักธุรกิจมะกันถูกหั่นตู้แช่แข็ง
ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ถ.สรรพาวุธ วันที่ 18 ธ.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลอ่านคำพิพากษาคดีแก๊งปลอมหนังสือเดินทาง อำพรางศพนักธุรกิจชาวอเมริกันแช่แข็งหมายเลขดำ อ.6040/2559 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายแอรอน โทมัส เกเบล (AARON THOMAS GABEL) อายุ 34 ปี สัญชาติอเมริกัน , นายเจมส์ดักลาส อีเกอร์ (JAMES DOUGLAS EGER) อายุ 67 ปี สัญชาติอเมริกัน, นายปีเตอร์ แอนดริว โคลเทอร์ หรือวิลเลี่ยม ปีเตอร์ จอห์นสัน หรือเฮอร์เบิร์ต เครก ลาฟอน (PETER ANDREW COLTER , WILLIAM PETER JOHNSON , HERBERT CRAIG LAFON) อายุ 64 ปี ชาวไอร์แลนด์เหนือสัญชาติอเมริกัน หัวหน้าแก๊งปลอมพลาสปอร์ต เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดต่อชีวิต , ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม , ความผิดเกี่ยวกับศพ , ความผิดเกี่ยวกับดวงตรา และหนังสือเดินทาง , พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ,ความผิดต่อวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท , พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ และ พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ
โดยคำฟ้องอัยการโจทก์ บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ย.49 จำเลยทั้งหมดร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนรวม 7 รายการไว้ในครอบครอง , ร่วมกันมีไอซ์ น้ำหนัก 4.522 กรัม , กัญชา 1 ถุง , คีตามีน 1 ขวด ไว้เพื่อจำหน่าย , ร่วมกันมี-จำหน่ายหนังสือเดินทางปลอมของประเทศฝรั่งเศส 3 ฉบับ และหนังสือเดินทางของสหรัฐอเมริกา 1 ฉบับโดยทำขึ้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหลงเชื่อว่าหนังสือเดินทางดังกล่าวเป็นหนังสือเดินทางที่ประเทศอังกฤษออกให้
และระหว่างปลายเดือน ต.ค.51- ปลายเดือน ม.ค.59 จำเลยทั้งสาม ร่วมทำลายศพของ นายชาร์ล เอ็ดเวิร์ด ดีทเทิล เซ่น นักธุรกิจชาวอเมริกัน โดยตัดและเลื่อยศพออกเป็นท่อนๆ แล้วใส่ถุง นำไปกซ่อนในตู้แช่แข็งเพื่อปิดบังการตาย ในบ้านเลขที่ 37/2 ซ.เอกมัย 12 และร่วมกันเคลื่อนย้ายศพไปยังอาคารพาณิชย์ เลขที่ 18/1 ซ.สุขุมวิท 56 โดยนายปีเตอร์ แอนดริว โคลเทอร์ จำเลยที่ 3 ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อต้นเดือน ม.ค.51 โดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วเมื่อวันที่ 23 ก.ย.59 ขณะที่ จ.ส.ต.กัญจนพงศ์ เชเดช และ จ.ส.ต.นพรัตน์ ยอดศิลป์ และจ.ส.ต.ประสบโชค พานทอง ตำรวจ สน.พระโขนงกับพวก เข้าทำการตรวจค้น-จับกุมจำเลยทั้งสามตามหน้าที่ จำเลยที่ 3 ก็ใช้อาวุธปืนขนาด 9 ม.ม.ที่มีไว้ในครอบครอง ยิง จ.ส.ต.กัญจนพงศ์ ผู้เสียหายที่ 1 โดยเจตนาฆ่ากระสุน 3 นัดถูกลิ้นปี่ด้านขวา , ปลายหัวใจและเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ท้องอันเป็นอวัยวะสำคัญ แต่ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับการรักษาทันทีทำให้ไม่ถึงแก่ความตาย โดยจำเลยที่ 3 ยังได้กอดปล้ำกับ จ.ส.ต.นพรัตน์ ผู้เสียหายที่ 2 และ จ.ส.ต.ประสบโชค ผู้เสียหาย 3 จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายด้วย เหตุเกิดแขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.และแขวงบางจาก เขตพระโขนงเกี่ยวพันกัน
ชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย.59 ตำรวจจับกุม นายโดนัลด์ เครเมอร์ สัญชาติอเมริกัน แจ้งข้อหาหนังสือเดินทางปลอม ต่อมาซัดทอดว่าซื้อหนังสือเดินทางมาจากนายวิลเลี่ยมที่พักอยู่ ย่านสุขุมวิท เมื่อวันที่ 23 ก.ย.59 ตำรวจนำหมายค้นที่ขอจากศาลพระโขนง เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 18/1 ซอยสุขุมวิท 56 พบชาวยุโรป 3 คน และชาวพม่าหญิง-ชายอีก 2 คน ส่วน นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 ซึ่งอยู่บนชั้น 4 ของอาคารดังกล่าว และมีการยิงปืนต่อสู้กันจำนวน 3 นัดกระสุนถูก จ.ส.ต.กัญจนพงศ์ ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเมื่อควบคุมตัวจำเลยทั้งหมดได้ในการตรวจค้นที่เกิดเหตุพบตู้แช่แข็งขนาดใหญ่ถูกล๊อกด้วยกุญแจที่ชั้น 1 เมื่อเปิดตู้แช่พบชิ้นส่วนมนุษย์เป็นชาวต่างชาติถูกตัดอวัยวะด้วยของมีคม บรรจุในถุงพลาสติกสีดำแช่แข็งจำนวน 4 ชิ้น และพบอาวุธปืน-เครื่องกระสุน , ยาเสพติดและหนังสือเดินทาง จำนวน 10 ฉบับ
โดยพยานโจทก์ซึ่งเป็นแม่บ้านทำความสะอาด , คนขายตู้เย็นที่จำเลยสั่งซื้อจากร้าน และคนขี่จักรยานยนต์รับจ้างที่ไปช่วยขนของย้ายบ้าน ต่างเบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันเป็นลำดับให้เห็นว่า นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องครอบครองขนย้ายตู้แช่แข็ง ซึ่งพยานดังกล่าวไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 และไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจึงไม่มีเหตุปรักปรำให้ร้าย อีกทั้งยังได้จากคำเบิกความของ นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 เองว่า รับทราบเหตุการณ์ตั้งแต่มีการนำศพ ไปแช่ในตู้เย็นดังกล่าว และเป็นผู้รับว่าได้สั่งขนย้ายตู้แช่แข็งไปยังอาคารอีกหลังหนึ่ง ข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของจำเลยที่ 3 จึงเจอสมกับพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ครอบครองตู้แช่ที่บรรจุศพ
ส่วนที่ นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 ต่อสู้ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหั่นศพและนำศพไปแช่แข็ง แต่ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 ขัดแย้งกันไม่สมเหตุสมผล มีข้อพิรุธหลายประกาการ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ทราบว่ามีศพอยู่ในตู้แช่แข็งจึงเป็นการซ่อนเร้น เพื่อปิดบังเหตุการณ์ตาย อันเป็นการเคลื่อนย้ายศพโดยไม่มีเหตุอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 และ366/3 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิด
ขณะที่ความผิดทำปลอมดวงตราหรือรอยตราของสาธารณะที่ใช้ในการตรวจตราสำหรับเดินทางระหว่างประเทศตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 251 , 269/12 นั้น โจทก์มี เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง 4 นายซึ่งตรวจพิสูจน์ตราประทับและรอยตราของประเทศไทย ที่เป็นของกลาง ซึ่งได้จากตู้เซฟของ นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 จำนวน 52 อันเป็นของปลอม ซึ่งตราประทับที่ตรวจค้นพบมีเป็นจำนวนมากและเป็นรอยประทับที่ใช้เกี่ยวกับการเดินทางเข้า-ออกของประเทศต่างๆจึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยที่ 3 จะมีไว้ในครอบครอง แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ทำปลอมตราประทับดังกล่าวด้วยวิธีการใดและไม่มีพยานหลักฐานอื่นบ่งชี้ว่าในอาคารที่เกิดเหตุมีเครื่องมือในการผลิต ทำตราประทับปลอม จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ทำปลอมขึ้นมา
ส่วนความผิดจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่ายหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ปลอมนั้น พยานที่โจทก์ ก็มีทั้งพนักงานสอบสวน และผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจหนังสือเดินทาง ต่างเบิกความสอดคล้องกันว่า นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 มีหนังสือเดินทางปลอมตั้งแต่ 2 ฉบับขึ้นไปไว้ในครอบครองเพื่อใช้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/8และ 269/9 วรรคสาม
นอกจากนี้พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบ ยังรับฟังได้ด้วยว่า นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 ได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานระหว่างจับกุม โดยใช้ปืนกล็อกยิงใส่ ผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาฆ่า จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(2) กับความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน , ฐานมียาไอซ์ ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 น้ำหนัก 4.285 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และมีกัญชา ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 น้ำหนัก 4.398 กรัมไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และมียาคีตามีน จำนวน 0.481 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตไว้ในครอบครองที่ตรวจพบในตู้เซฟของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ด้วย
จึงพิพากษาว่า การกระทำของ นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานฯ ให้จำคุกตลอดชีวิต , ฐานเคลื่อนย้ายศพฯ จำคุก 2 ปี , ฐานมีไว้-จำหน่ายหนังสือเดินทางปลอม จำคุก 4 ปี , ฐานมีไอซ์เพื่อจำหน่าย จำคุก 7 ปีและปรับ 450,000 บาท , ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองฯ จำคุก 3 เดือน , ฐานมียาคีตามีนไว้ในครอบครองฯ จำคุก 1 ปี 6 เดือน , ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุน จำคุก 1 ปี
แต่ทางนำสืบของ นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษ 1 ใน 3 ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานฯ จึงจำคุก 33 ปี 4 เดือน , ฐานเคลื่อนย้ายศพฯ จำคุก 1 ปี 4 เดือน , ฐานมีไว้-จำหน่ายหนังสือเดินทางปลอม จำคุก 2 ปี 8 เดือน , ฐานมีไอซ์เพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี 8 เดือนและปรับ 300,000 บาท , ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองฯ จำคุก 2 เดือน , ฐานมียาคีตามีนไว้ในครอบครองฯ จำคุก 1 ปี และฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุน จำคุก 8 เดือน รวมจำคุก นายปีเตอร์ จำเลยที่ 3 ใน 7 ข้อหาทั้งสิ้น 43 ปี 10 เดือน และปรับ 300,000 บาท ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกและริบของกลาง
สำหรับ นายแอรอน จำเลยที่ 1 และ นายเจมส์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าอาคารนั้น พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังโดยหนักแน่นว่า นายแอรอน จำเลยที่ 1 เป็นคนไปซื้อตู้เย็น อีกทั้งไม่พยานปากใด เบิกความยืนยันถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ว่ามีส่วนร่วมกับ นายปีเตอร์จำเลยที่ 3 อย่างไร ส่วน นายเจมส์ จำเลยที่ 2 พยานเบิกความเพียงว่า ว่าจำเลยทั้งสามเป็นลูกค้าที่มาเช่าอาคารแต่ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 เกี่ยวข้องกับศพในตู้แช่แข็งโดยตรงและไม่พบลายนิ้วมือแฝงของจำเลยที่ 2 บนถุงดำที่ใช้ห่อศพแช่แข็ง พยานหลักฐานโจทก์ข้อหาร่วมกันซ่อนเร้นทำลาย โดยไม่มีผู้ใดยืนยันว่า นายแอรอนและนายเจมส์ จำเลยที่ 1-2 มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการซ่อนเร้นเคลื่อนย้ายศพ และพยานหลักฐานไม่สามารถบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1-2 ได้ร่วมกันกับจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานมีไว้ใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตั้งแต่ 2 ฉบับขึ้นไป กับความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ และพ.ร.บ.ยาเสพติดฯ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัย พิพากษาให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยที่ 1-2 ไว้ระหว่างอุทธรณ์