'ร.ต.ท.' ปล้นร้านทอง ให้ออกจากราชการ

'ร.ต.ท.' ปล้นร้านทอง ให้ออกจากราชการ

คืบหน้ากรณีตำรวจ ยศ ร.ต.ท. บุกเดี่ยวปล้นร้านทอง ได้ทองหนัก 20 บาท ร่วม 4 แสนบาท โดยผู้บังคับบัญชาให้ออกจากราชการแล้ว หลังพบว่าติดหนี้พนันวัวชน

หลังเกิดเหตุคนร้ายบุก เดี่ยวใช้อาวุธปืนจี้ชิงสร้อยคอทองคำ ห้างทองจิราพร ต.บางรูป อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ได้ทองรูปพรรณน้ำหนัก 20 บาท มูลค่าเกือบ 4 แสนบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ก่อนที่ชุดสืบสวน จะตรวจสอบเส้นทางหลบหนีของคนร้าย ไปจนพบรถจักรยานยนต์ที่ก่อเหตุ ซึ่งจากการสอบสวนเจ้าของรถให้การว่า มี ร.ต.ท. ตำแหน่ง รอง สว.สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี มาขอยืมรถจักรยานยนต์ไป อ้างว่าจะขี่ไปดูแลสวนยางพารา ก่อนจะนำรถมาคืนตามปกติ กระทั่งมาทราบจากเจ้าหน้าที่ว่ารถได้ถูกนำไปก่อเหตุปล้นร้านทอง

หลังจากนั้นได้เข้า อายัดและควบคุมตัว ร.ต.ท.มีชัย ช่อสม อายุ 37 ปี รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.หนองจิก พนักงานสอบสวน สภ.หนองจิก ในข้อหา "ชิงทรัพย์ร้านทอง" ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ยังได้เข้าตรวจค้นในบ้านพักที่ สภ.หนองจิก พบกางเกงและหมวกที่ใช้ในวันก่อเหตุ แต่ผู้ต้องหายังให้การภาคเสธ ล่าสุดศาลจังหวัดทุ่งสงได้อนุมัติหมายจับ ร.ต.ท.มีชัย

พล.ต.ต.ดำรัส วิริยะกุล รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พร้อมฝ่ายสืบสวน สอบปากคำ ร.ต.ท.มีชัย ช่อสม เพิ่มเติมพบว่ามีความกระวนกระวายและเครียดอยู่ตลอดเวลา โดยก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่จะสอบสวน ทนายของผู้ต้องหาได้พูดคุยปรึกษาความกันอย่างเคร่งเครียดในห้องสอบสวน โดยมีเพื่อนๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และญาติๆ รวมถึงภรรยาของ ร.ต.ท.มีชัย เดินทางมาให้กำลังใจกันที่หน้าห้องขังจำนวนหนึ่ง

ขณะที่ ร.ต.ท.มีชัย ผู้ต้องหา ยังคงให้การปฎิเสธตลอดข้อกล่าวหาเช่นเดิม เจ้าหน้าที่จึงเตรียมนำตัวผู้ต้องหาส่งศาลจังหวัดทุ่งสง เพื่อพิจารณาฝากขังผัดแรกในเวลา 11.00 น.วันนี้ และ มีรายงานว่า ทางผู้บังคับบัญชาได้มีคำสั่งให้ ร.ต.ท.มีชัย ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว

ขณะที่ ฝ่ายสืบสวน สภ.ทุ่งใหญ่ ชุดสืบสวน ภ.8 และสืบสวนจังหวัดนครศรีธรรมราช พบสาเหตุจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ มาจากที่ ร.ต.ท.มีชัย มีหนี้สิ้นจำนวนมากจากการเล่นพนันวัวชน จนต้องมีการนำสวนยางของแม่ยายไปขายใช้หนี้ ส่วนของกลางที่คนร้ายจี้ชิงไปเป็นสร้อยคอทองคำน้ำหนักรวม 20 บาทนั้น ยังไม่มีวี่แววว่ามีการนำไปขายหรือไปฝากเก็บไว้ที่ผู้ใด ซึ่งจะได้เร่งสืบสวนค้นหาตามเส้นทางหลบหนีและเช็กกล้องวงจรปิด เพื่อเป็นหลักฐานในการมัดตัว รวมทั้งจะสอบหาว่ามีใครรู้เห็นหรือช่วยเหลือในการจัดเก็บของกลางหรือไม่