‘ดุสิต’เล็งซื้อโรงแรม ‘ไทย-ตปท.’เสริมรายได้

‘ดุสิต’เล็งซื้อโรงแรม ‘ไทย-ตปท.’เสริมรายได้

กลุ่มดุสิตธานี เล็งเข้าซื้อกิจการโรงแรม 2 แห่ง หวังเสริมรายได้ คาดสรุปปีหน้า วางแผนรับจ้างบริหารโรงแรมเพิ่มเป็น 62 แห่งใน 17 ประเทศ พร้อมบริหารแฟรนไชส์ในจีนอีก 40 แห่ง หวังเพิ่มรายได้ชดเชยโรงแรมดุสิตธานีเตรียมปิดปรับปรุงปลายปีหน้า

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแผนการปิดให้บริการโรงแรมดุสิตธานี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 โดยจะใช้เวลาการก่อสร้างให้รวดเร็วที่สุด ทั้งนี้ การปิดโรงแรมจะไม่กระทบต่อรายได้ของบริษัทในปี 2561 ให้ปรับตัวลดลง แต่จะได้รับผลกระทบในช่วงปี 2562 เป็นต้นไป โดยรายได้จากโรงแรมดุสิตธานี คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 20 % ของธุรกิจโรงแรมบริษัท

เล็งซื้อโรงแรมเสริมรายได้

อย่างไรก็ตามบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อโรงแรม 2 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งฝั่งยุโรปและเอเชีย โดยจะต้องเป็นโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้วและสามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทได้ทันที โดยกำลังศึกษาโครงสร้างการเข้าลงทุน ว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับบริษัทมากที่สุด  คาดว่าการเจรจาจะลุล่วงได้ภายในปี 2561  ซึ่งจะใช้งบประมาณทั้งจากกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และงบประมาณของบริษัท 

นางศุภจี กล่าวว่าสาเหตุที่ขยายกิจการด้วยการลงทุนเองในครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาการขยายตัวในรูปแบบรับบริหารเป็นไปด้วยดี มีโรงแรมที่เซ็นสัญญาใหม่เพิ่มจำนวนมาก แต่ด้วยรูปแบบดังกล่าวรายได้จะยังไม่สูง เพราะได้ส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมในการบริหารเป็นหลัก ต่างจากการลงทุนเพื่อเป็นเจ้าของกิจการเองที่ได้ผลตอบแทนเต็มที่และบริษัทเองไม่มีการลงทุนกิจการโรงแรมใดๆ ในรอบ 5-6 ปี หลังจากเปิดดุสิตธานี มัลดีฟส์ ไปแล้ว ดังนั้น หากเพิ่มสัดส่วนรายได้ตรงนี้ ก็จะช่วยสร้างสมดุลของรายได้มากขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของแล้ว อาจพิจารณาอีกครั้งว่าจะรีแบรนด์ให้มาอยู่ภายใต้แบรนด์ของดุสิต อินเตอร์เนชันแนลหรือไม่ ถ้าหากยังเป็นตลาดที่ใหม่ก็อาจจะคงแบรนด์เดิมที่เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้วต่อไป

ลุยบริหารโรงแรมต่างประเทศ

นางศุภจี กล่าวว่าบริษัทมีแผนจะเข้าบริหารโรงแรม 62 แห่ง ใน 17 ประเทศ รวมถึงการบริหารแฟรนไชส์ ในจีนอีก 40 แห่ง เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มเติมในอนาคต

แผนการเติบโตของบริษัทในอนาคต จะมีการลงทุนที่สูงมาก ทั้งในการก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูส ที่ต้องลงทุนในปริมาณที่มากนั้น บริษัทได้เตรียมโครงสร้างทางการเงินเพื่อใช้ในการลงทุนไว้แล้ว โดยบริษัทเชื่อว่าตลอดแผนการลงทุนกว่า 5 ปีของบริษัทนั้น จะกระทบให้หนี้สินต่อทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 0.3 เท่าให้ขึ้นไปไม่เกิน 1 เท่า

สำหรับภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าฟื้นตัวได้ดี นักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยมากขึ้นและในปีนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจโรงแรมอยู่ในระดับที่สูงทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรมด้วยกัน รวมไปถึงการเข้ามาของธุรกิจออนไลน์แบบโอทีเอ ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น ซึ่งในเครือดุสิตธานี มีการให้บริการ ครอบคลุมใน 4 กลุ่ม ทั้งลูกค้าระดับไฮเอนด์ ระดับบน ระดับกลาง และระดับ 4 ดาว และจะมีการพัฒนาแบรนด์โรงแรมใหม่ๆ มากขึ้นทั้งนี้ภาพรวมการเข้าพักของนักท่องเที่ยวจากต้นปี มีทิศทางที่ดี มีลูกค้าทั้งในกลุ่มประเทศยุโรป และเอเชียเข้ามาพักอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้าจากจีนและญี่ปุ่น

“กองรีท”เทรดวันแรกแตะ 6.7 บาท

นางศุภจี กล่าวว่าในส่วนของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DREIT) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งเป็นการเปิดซื้อขายวันแรก ราคาหน่วยลงทุนเปิดตลาดที่ 6.7 บาท ทั้งนี้การแปลงสินทรัพย์จากกองอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นการต่อยอดการเติบโตของกองรีทในอนาคต โดยบริษัทจะพิจารณาขายสินทรัพย์เข้ากองทุนเพิ่มเติมในปีหน้า

“แผนการเติบโตในอนาคตบริษัทจะพิจารณาขายสินทรัพย์เข้ากองทุนเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตให้กับกองรีท ทั้งนี้การขายทรัพย์สินเข้ากองทุนมีโอกาสที่จะขายทั้งทรัพย์สินในเครือดุสิตธานีเอง หรือ โรงแรมจากภายนอกกลุ่มด้วย ซึ่งต้องพิจารณาอีกครั้ง”

สำหรับทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพิจารณานำเข้าในกองทรัสต์เพิ่มเติมนั้น ประกอบด้วยโรงแรมอย่างน้อย 2 แห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และโรงแรมที่อยู่ในกลุ่มดุสิตธานี และโรงแรมนอกกลุ่ม โดยมีมูลค่ารวมของทรัพย์สินประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งแผนการขายทรัพย์สินเข้ากองทุนจะชัดเจนในปี 2561 ทั้งนี้นโยบายการขายทรัพย์สิน บริษัทจะพิจารณาไม่ให้กระทบกับผู้ถือหุ้น ซึ่งนโยบายของบริษัทต้องการให้เงินปันผลของกองทุนอยู่ในระดับที่ 7-8% 

สำหรับ  DREIT ออกหน่วยทรัสต์ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DTCPF) เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพย์สินและภาระของกองทุนรวม โดยอัตราการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของ DTCPF เป็น DREIT คือ 1 หน่วยลงทุน ต่อ 1 หน่วยทรัสต์ พร้อมเงินสด 1.06 บาท รวมจำนวนหน่วยทรัสต์ที่ออก 409.4 ล้านหน่วย และเงินสด 433.96 ล้านบาท โดยมีบริษัท ดุสิตธานี พร็อพเพอร์ตี้ส์ รีท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ดุสิตธานี  จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงไทย เป็นทรัสตี และบริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ทั้งนี้ DREIT จะรับโอนทรัพย์สินจาก DTCPF โดยเข้าลงทุนในกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี ประกอบด้วยโรงแรมในเครือดุสิตธานี 3 แห่ง โดยลงทุนในกรรมสิทธิ์โรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต โรงแรมดุสิตดีทู เชียงใหม่ และลงทุนในสิทธิการเช่าโรงแรมดุสิตธานีหัวหิน (สิทธิการเช่าสิ้นสุดปี 2583) ซึ่งทั้ง 3 แห่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวทั้งหมด รวมแล้วมีห้องพักจำนวน 652 ห้อง มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยประมาณ 72%

DREIT มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้วของรอบปีบัญชี โดยผู้ถือหน่วยทรัสต์รายใหญ่ของ DREIT 3 ลำดับแรกภายหลังการแปลงสภาพ ได้แก่ บมจ. ดุสิตธานี ถือหน่วยทรัสต์ 30.02% สำนักงานประกันสังคม ถือหน่วยทรัสต์ 25.42% บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ถือหน่วยทรัสต์ 5.03%