Daily Strategy (14 ธ.ค.60)

Daily Strategy (14 ธ.ค.60)

หุ้นใหญ่หนุนตลาด

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะที่หุ้นกลางและหุ้นเล็กถูกเทขายทำกำไร และไร้แรงซื้อกลับเพื่อรีบาวด์ นักลงทุนหันกลับเข้าซื้อหุ้นใหญ่ในกลุ่มหลักทั้งพลังงาน สื่อสาร ส่วนหุ้นขนาดกลางและเล็กถูกเทขาย ทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของ Fund Flow ในกลุ่มหุ้นด้วยกัน นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ครั้งสุดท้ายของปีอีก 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% และคาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า อาจจะทำให้ทิศทางของ Fund Flow ออกจากตลาดหุ้น Emerging Market ในแถบอาเซียน หันกลับสู่ตลาดใหญ่อย่างเช่นสหรัฐฯ และยุโรป เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแนะนำนักลงทุนระมัดระวังความผันผวนของตลาด ในช่วงท้ายปีไว้ด้วย เรายังมองดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดปลายปียืนเหนือ  1,700 จุดได้ แม้จะไม่บรรลุระดับสูงสุดที่คาดไว้          1,753 จุด สาเหตุสำคัญเนื่องจากผลของการ Re-allocate กลุ่มหุ้น และตลาดหุ้นทั่วโลก คาดว่าความผันผวนตลาดหุ้นไทยจะน้อยลง หากตัวเลข GDP ของปี 2561 ปรับตัวดีขึ้นมายืนระดับ 4.0% หุ้นเด่น PTT, TOP, IRPC, IVL, BANPU, ADVANC, BBL, KBANK, TCAP และ TMB

หุ้นเด่นวันนี้: AP (ราคาปิด 8.80บาท; ซื้อ; AWS ราคาเป้าหมาย10.00บาท)

  • AP จะเน้นเปิดโครงการในแนวราบเป็นหลักในปี 2561 โดยบริษัทเชื่อว่ามี Demand ในแนวราบค่อนข้างสูงในปีหน้า โดยเราคาดการณ์รายได้ใน 4Q60 เท่ากับ 7,710 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรายได้ที่โอนมาจากโครงการ Life Sukhumvit 48 Rhythm Rangnamและ Life Pinklaoเราแนะนำซื้อ ทั้งนี้บริษัทมีพื้นฐานแข็งแกร่งจากยอด Presales ของโครงการ Life Rama 9 ซึ่งจะช่วยดันให้ยอด Presales ทั้งปีสูงระดับ 39,000 ล้านบาท และ Backlog จาก JV จำนวนมากซึ่งจะช่วย Secured รายได้ในปีต่อๆไปได้อย่างมั่นคง เราแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายคงเดิมที่ 00 อ้างอิง PER ที่ 10x จากกำไรสุทธิในปี 2561
  • Price Pattern ของ AP ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิด Monthly Buy Signal แต่ยังคงอ่อนแอจากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Sell Signal โดย Price Pattern ของ AP จะกลับมาเกิด Daily และ Weekly Buy Signal ครั้งใหม่เมื่อสามารถปิดตลาดเหนือ 95 บาท เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ AP รอบนี้ มีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 11 บาท (Resistance: 8.85, 8.95, 9.00; Support: 8.75, 8.70, 8.60) 

ปัจจัยในประเทศ:

  • ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ขึ้น เป็น 8% ทั้งในปีนี้และปีหน้า จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 3.5% ในปี 60 และ 3.6% ในปี 61 หนุนโดยภาคส่งออกที่แข็งแกร่งและการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน (บางกอกโพสต์)
  • ตลท. ประกาศปรับ SET50 และ SET100 ใหม่ เริ่มใช้ 1 ม.ค.-30 มิ.ย.61)ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ใช้สำหรับคำนวณดัชนี SET50 ดัชนี SET100 ดัชนี SET และดัชนี SETHD ในช่วงครึ่งปีแรก พ.ศ.2561 (1 มกราคม-30 มิถุนายน) โดยดัชนี SET50มีหลักทรัพย์เข้าใหม่ 6 หลักทรัพย์ BCP, BEAUTY, CENTEL, TPIPP, SAWAD, WHA และปรับออกสำหรับ BLA, DELTA, GLOW, RATCH, SCCC, TPIPL ส่วน SET100 นำเข้าสำหรับ ESSO, GGC, HANA, JMART, JWD, MC, ORI, PSL, SGP, STA, TPIPP, UV, WHAUP ส่วนปรับออก ได้แก่ BLA, DELTA, GLOW, LHBANK, MALEE, PLANB, PTL, RATCH, S, SCCC, STPI, THANI, VGIสำหรับ SETHD ปรับเข้าได้แก่ ADVANC, BA, BLAND, HANA, INTUCH, LH, MC, PTT ปรับออก ได้แก่ AMATA, DELTA, GLOW, KBANK, LHBANK, ROBINS, STPI, THANI
  • CPF: คาดว่ารายได้ในปี 2017 จะโต 10% จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในต่างประเทศโดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้จากต่างประเทศเป็น 70% ของรายได้รวมจากสัดส่วนที่ 64% ในปัจจุบันในอีก 3 ปีข้างหน้า(Bangkok Post)
  • SCC (ราคาปิด 480 บาท, “ถือ”, ราคาเป้าหมาย AWS  520 บาท) รายงานการขายหุ้นในบริษัทร่วม 2 บริษัท โดยขายหุ้น 25% ใน Renko Packaging Malaysia Sdn.Bhd. และขายหุ้น 29.91% ในบริษัทแม๊กซิออน วีลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้ SCC จะมีรายรับรวม 140 ล้านบาทและบันทึกเป็นกำไรหลังหักภาษีประมาณ 63 ล้านบาท ในไตรมาส 4/60 นี้ ส่งผลบวกต่อ SCC อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองว่าผลประกอบการของบริษัทในระยะ 1-2 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจาก SCC ไม่มีกำลังการผลิตใหม่ ประกอบกับราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีประเด็นเสี่ยงจากกำลังการผลิตโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการใช้วัตถุดิบ Shale Gas ในสหรัฐฯ เราจึงมองว่า SCC ขาดปัจจัยสนับสนุนในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ:DJIA และ NASDAQ ปิดบวก (13 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 25% ตามคาดในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐทั้งในปีนี้และปีหน้า อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง หลังจากคณะกรรมการเฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
  • ตลาดหุ้นยุโรป:ปิดลบ (13 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งของอิตาลีในปีหน้า ซึ่งส่งผลให้ดัชนี FTSE MIB ตลาดหุ้นอิตาลีร่วงลงอย่างหนักถึง 4% ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงจากความกังวลดังกล่าวเช่นกัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังชะลอการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการไปก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะแถลงมติการประชุม
  • ตลาดหุ้นลอนดอน:ปิดขยับลง (13 ธ.ค.) หลังสหราชอาณาจักรเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่า อัตราค่าจ้างในอังกฤษยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมันดิบ:(WTI ลดลง 54 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ ลดลง 90 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 62.44 ดอลลาร์/บาร์เรล) สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 5.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.5 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลง 5.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 3.8 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 902,000 บาร์เรล
  • ราคาทองคำ:ปิดดีดตัวขึ้น (13 ธ.ค.)เพิ่มขึ้น 9 ดอลลาร์ หรือ 0.56% ปิดที่ระดับ 1248.60 ดอลลาร์/ออนซ์หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ตามคาด ในการประชุมเมื่อวานนี้
  • ดัชนีค่าระวางเรือ: ปิดที่ 1,730 จุด ลดลง 13 จุด หรือ -0.75% เป็นการปรับตัวลดลงเป็นวันแรกหลังจากขึ้นมา 18 วันทำการ แนะนำรอดูท่าทีของหุ้น PSL และ TTA คาดว่ายังไม่เกิดผลลบ หากไม่ลดลงต่ำกว่า 1,400 จุด แต่คาดว่าส่งผลต่อ Sentiment ระยะสั้นกับราคาหุ้นทั้งสอง

Key Takeaway จากการประชุมนักวิเคราะห์ 13 ธ.ค.60

  • SQ:(ราคาปิด 5.40 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายอิง consensus EPS ปี 2560 เท่ากับ 6.0-6.25 บาท)อัพเดทงานประมูลขุดขนหน้าดินเหมืองแม่เมาะ 9 ที่ SQ ไม่ชนะการประมูล จากราคากลางที่ กฟผ.กำหนดคือ 42,000 ล้านบาท มีเงื่อนไขต้องลงทุนเพิ่มในเครื่องจักร15,000 ล้านบาท ซึ่งหากลงทุนแม่เมาะ 9 จะต้องทั้งกู้เงินเพิ่ม 10,000 ล้านบาทและเพิ่มทุน RO ซึ่ง ITD เป็นผู้ชนะการประมูล ด้วยราคาประมูล 35,000 ล้านบาท SQ เสนอราคา 36,000 ล้านบาท IRR 11% คือถ้า IRR น้อยกว่า 10% SQ ไม่รับงาน โดยงานแม่เมาะ 9 จะประกาศผลผู้ชนะอย่างเป็นทางการ ประมาณ ม.ค.-ก.พ.61 ยังอาจจะมีโอกาสอีกเพียงเล็กน้อยที่ SQ จะพลิกกลับมาได้งานแม่เมาะ 9 นับจากนี้ไป งานใหญ่จะมาจาก การประมูลเหมืองแม่เมาะ 10 ซึ่งอีกประมาณ 4 ปี จะเปิดประมูล SQ มั่นใจว่าจะได้งาน

        ณ สิ้น ต.ค60 SQ มี Backlog รวม 36,000 ล้านบาท พอรองรับรายได้ไปอีก 9-10 ปีข้างหน้า ส่วน potential backlogใหม่ที่คาดว่าจะได้มาจาก 1.เหมืองลิกไนต์หงสา มูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท 2.เหมืองโปแตชชัยภูมิ APOT ในส่วนงานใต้ดิน แต่ต้องรอ APOT ทำ financial close เสียก่อน 3. เหมืองดีบุกที่ทวาย ซึ่งมีเจ้าของสัมปทานเป็นคนไทย ซึ่งจะได้ต่ออายุสัมปทานเหมืองดีบุก คาดว่าจะมี งาน Backlog ว่าจ้าง SQ ทำ ราว 2,000 ล้านบาทขึ้นไป

       การไม่ได้งานแม่เมาะ 9 ไม่กระทบพื้นฐานที่เป็นอยู่ consensus คาดกำไรต่อหุ้นปี 2560 เท่ากับ 0.37-0.40 บาท และกำไรสุทธิปี 2561 เท่ากับ 0.48-0.50 บาท ราคาปัจจุบัน PER ต่ำกว่าคาเฉลี่ยหุ้นรับเหมาที่ 25-30 เท่า PER;  SQ มีโอกาส growth จากการทำงานที่มีอยู่ราวปีละ 15-20% ได้ต่อไป อีกทั้งไม่ต้องจมเงินจำนวนมากกับงานแม่เมาะ 9 และยังมีโอกาสออกไปหางานประเภทสัมปทาน และร่วมทุนมาทำเพิ่ม ราคาเป้าหมายในเบื้องต้นควรอยู่ที่ 6.00 -6.25 บาท อิง PER ที่ 12.5 เท่า