กลิ่นไอรักที่ Columbia Flower Market London

กลิ่นไอรักที่ Columbia Flower Market London

อีสท์ลอนดอน (East London) เคยเป็นเมืองชายขอบของลอนดอนที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรม น่ากลัวและอันตราย

ตำนาน Jack The Ripper ฆาตกรต่อเนื่องที่เลื่องลือโจษจันก็มีจุดกำเนิดในย่านนี้ แต่เพราะการขยายของเมือง ปัจจุบันอีสท์ลอนดอนกลายเป็นที่หมายปองของเหล่านายทุน ราคาที่ดินสูงขึ้นจนแตะเพดาน จากสลัมกลายเป็นแหล่งชุมนุมของกลุ่มศิลปิน รวมถึงร้านค้าทางเลือกที่สร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์เฉพาะ ถ้าจะให้นิยามใหม่ตอนนี้พื้นที่แถบนี้กลายเป็นแหล่งความรู้ทางศิลปวัฒนธรรม และเป็นแหล่งรวบรวมความบันเทิงครบครัน ตั้งแต่แกเลอรี่ คาเฟ่ ร้านอาหาร ผับบาร์ และแหล่งชอปปิ้งทั้งแบรนด์ระดับไฮคลาสไปจนถึงงานทำมือ

อย่างไรก็ตาม ในความหมองหม่นเมื่อครั้งก่อน ช่วงระหว่างปี 1810-1819 ก็ยังมีสตรีที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดบนเกาะอังกฤษ พยายามพัฒนาและปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างแสงสว่างให้กับพื้นที่แห่งนี้

Burdett-Coutts สตรีสามัญคนแรกที่ได้รับเกียรติจากพระราชินีอลิซาเบซให้เป็นพระสหาย ได้ซื้อที่ดินและได้ก่อตั้งอาคาร Columbia Market ยุคนั้นถือว่าตลาดแห่งนี้เป็นตลาดขนาดใหญ่ สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียโกธิค (Victorian Gothic) ที่มองดูคล้ายรูปทรงของ “มหาวิหาร” ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ Henry Darbishire มีห้องพัก 400 ห้อง ล้อมรอบไปด้วยร้านค้าและมีแฟลตสำหรับผู้ค้าตั้งอยู่ชั้นบนของร้าน ตลาดต้องปิดตัวลงในปี 1886 ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ หลังจากนั้นสถาปัตยกรรมอันสง่างามทั้งหมด ถูกแทนที่ด้วยสิ่งก่อสร้างในรูปแบบที่เรียกว่า Sivil House และ Dorset Estate ช่วงราวทศวรรษที่ 1960

ตลาดดอกไม้บนถนนโคลัมเบีย มีที่มาจากกลุ่มพ่อค้าชาวยิวซึ่งปกติทำการค้าอยู่ในตลาด Covent Garden และ Spitalfields ของลอนดอน พวกเขาได้เริ่มนำดอกไม้และพืชพันธ์ต่างๆ มาวางขายบนถนนเส้นนี้ จนเป็นที่รู้จัก แล้วปากต่อปากและได้รับความนิยม

จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ตลาดโคลัมเบียผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วเกือบ 150 ปี ฉันรู้จัก Columbia Flower Market ครั้งแรกจากเพื่อนชาวอังกฤษ ชายหนุ่มเอ่ยปากชวนให้ไปช่วยกันเลือกดอกไม้และของสำหรับไว้ประดับตกแต่งบ้าน แล้วแอบกระซิบเบาๆ ว่าเขาอยากหาซื้อของบางอย่าง เพื่อนำมาประดิษฐ์เป็นของขวัญเซอร์ไพรส์ภรรยา ความหลังฝังใจระหว่างฉันกับตลาดแห่งนี้จึงเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างโรแมนติก

ในระหว่างที่สองสามีภรรยาเดินเลือกชมดอกไม้ จู๋จี๋กันท่ามกลางผู้คนหนาแน่นตลอดความยาวถนนกว่า 300 เมตร คล้ายกับว่าโลกนี้มีเราเพียง 2 คน ฉันได้ปลีกตัวออกมาสอดส่องและซึมซับไปกับบรรยากาศสองข้างทาง ฉันว่ามีสถานที่ไม่มากนักบนโลกใบนี้ ที่เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัยจริงๆ Columbia Flower Market เป็นหนึ่งในนั้น

อาจเพราะดอกไม้นอกจากมีความสวยงามในตัวเองแล้ว ดอกไม้ยังเป็นตัวแทนของความรักและความห่วงใย คนเราคงไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากความรัก ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม เมื่อความรักเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่เดินทางมาที่นี่ จึงไม่น่าแปลกใจหากเมื่อหลงเข้ามาอยู่ในกระแสของผู้คนบนถนนเส้นนี้ เราจะสัมผัสได้ถึงความอ่อนละมุนของบรรยากาศรอบตัว ผ่านภาพความสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ หนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุที่จูงมือกัน ครอบครัวพ่อแม่ลูกที่บ้างก็ช่วยกันเข็นรถเข็น บ้างก็ช่วยกันหอบหิ้วดอกไม้ที่ซื้อมา เพื่อนที่เดินพูดคุยระบายความในใจ นักท่องเที่ยวที่กำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น หรือแม้แต่ใครสักคนที่กำลังเลือกซื้อดอกไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ

ร้านดอกไม้บนถนนโคลัมเบียเป็นเต้นท์ตั้งขึ้นชั่วคราว เพราะตลาดดอกไม้จะเปิดเฉพาะวันอาทิตย์ ตั้งแต่ประมาณแปดโมงเช้าไปจนถึงบ่ายสาม พ่อค้าแม่ค้าที่นี่อัธยาศัยดี จึงไม่ต้องแปลกใจหากจะถูกแซวและทักทายอย่างออกหน้าออกตาเวลาเดินผ่านหน้าร้าน บางร้านพูดคุยเสียงดังตะโกนข้ามฟากไปมาจนนึกอยู่หลายทีว่าจะทะเลาะกันหรือเปล่า แล้วก็ยังมี Buskers หรือนักดนตรีเปิดหมวกเปลี่ยนหน้าสลับกันไป สร้างบรรยากาศให้ตลาดมีชีวิตชีวาและคึกคักเข้าไปอีก ทั้งหมดที่ว่ามาฉันเหมารวมว่าสั้นๆ ว่าเป็น “เสน่ห์” ที่หาไม่ได้จากตลาดแห่งอื่นในลอนดอน

นอกจากดอกไม้ ถนนโคลัมเบียยังมีร้านรวงอยู่ในตึกสองข้างทาง แต่ละร้านมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ทั้งร้านขายของแต่งบ้านแต่งสวน สินค้าโบราณเก่าแก่ เครื่องประดับ งานคราฟท์ทำมือ เครื่องเขียน แกเลอรี่ ร้านอาหาร คาเฟ่และที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับลอนดอน คือ ผับเก่าแก่ที่ไม่เคยว่างเว้นจากผู้คน

หาก Burdett-Coutts ยังมีชีวิตอยู่ เธอคงภูมิใจที่ได้เห็นพื้นที่ที่สร้างขึ้นจากความต้องการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ยังคงสภาพและอบอวลไปด้วยกลิ่นไอแห่งความรัก

  “ฉันชอบนั่งจิบกาแฟ ฟังดนตรีที่เล่นอยู่ตรงข้ามฝั่งถนน แล้วเฝ้ามองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา ดอกไม้แต่ละช่อแต่ละกระถางในมือพวกเขา ไม่ได้มีแค่ความสวยงามตามธรรมชาติ แต่เป็นสื่อกลางความรักที่สร้างรอยยิ้มและทำผู้รับมีความสุข กระทั่งอาจช่วยซ่อมแซมรอยร้าวในอีกหลายๆ ความสัมพันธ์สำหรับฉันถนนเส้นนี้ เป็นสีสันในวันที่เหงา มีความอบอุ่นเป็นกันเองที่เข้ามาสัมผัสแล้วทำให้อิ่มใจ...”