Daily Strategy (12 ธ.ค.60)

Daily Strategy (12 ธ.ค.60)

คาดดัชนีไปต่อ

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: ภาวะตลาดหุ้นไทย คาดว่ายังเดินหน้าปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยรับผลบวกจากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่ยืนในระดับสูง Brent แตะระดับ 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ค่าระวางเรือที่ปรับตัวดีขึ้น หุ้นกลุ่มสื่อสารซึ่งอ่อนตัวลงหนักคาดว่าจะมีแรงดีดตัวขึ้น รวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่เราแนะนำซื้อติดพอร์ตไว้ประมาณ 25% ของยอดรวมพอร์ต คาดว่าจะเป็นกลุ่มนำตลาดในปี 2561 โดยหุ้นกลุ่มธนาคารที่เราชอบคือ TCAP, BBL, KBANK และ TMB หลังการปิดตลาดในช่วงวันหยุดยาว คาดว่าบางหุ้นเช่น SQ ที่ทรุดหนักมากในวันศุกร์จากความพลาดหวังงานประมูลเหมืองแม่เมาะ 9 ทำให้ราคาปรับตัวลงราว 25% แต่งานในมือของบริษัทยังมีจำนวนมาก และมีโอกาสประมูลงานใหม่ได้อีก ราคาหุ้นลงต่ำมากเป็นโอกาสที่น่าสนใจเข้าซื้อ

หุ้นเด่นวันนี้: DTAC (ราคาปิด 45.25บาท; ซื้อ; IAA Consensus53.50 บาท)

  • EBITDA Margin ในไตรมาสที่ผ่านมามีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการอุดหนุนค่าเครื่องน้อยลงและค่า Regulatory cost ที่ต่ำลง ซึ่ง ณ ปัจจุบันบริษัทได้หันมาเพิ่มลูกค้าในส่วน Postpaid มากขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนรายได้เนื่องจากมีค่า ARPU สูงกว่า แบบ Prepaid โดย DTAC ยังมีปัจจัยบวกที่น่าติดตามจากการเปิด Line Mobile โดยร่วมมือกับ Line Thailand ซึ่งเป็นบริการในระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยสามารถสร้างบริการที่แตกต่างกับผู้ให้บริการและเราคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการจะมากขึ้นเรื่อยๆอย่างมีนัยยะสำคัญ เราแนะนำซื้อโดย IAA Consensus ให้ราคาเป้าหมายที่ 53.50บาท
  • Price Pattern ของ DTAC ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่ก็จะทำให้ Price Pattern ของ DTAC กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัวโดยหาก DTAC สามารถปิดตลาดรายสัปดาห์เหนือ 48 บาท เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ DTAC มีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 50 บาท ทั้งนี้ DTAC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 43 บาท (Resistance: 45.50, 46.00, 47.00; Support: 44.75, 44.25, 43.25)

ปัจจัยในประเทศ:

  • ยอดขอตั้งโรงงานใหม่เพิ่มขึ้นในช่วง 11M60กรมโรงงานอุตสาหกรรมเผย ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 60 มียอดขอใบอนุญาตประกอบกิจการและขยายโรงงานทั้งหมด 4,710 โรง คิดเป็นมูลค่า 74 แสนล้านบาท (+14% YoY) ขณะที่ 529 โรงจากจำนวนดังกล่าว หรือ 1.43 แสนล้านบาท เป็นโรงงานที่จัดตั้งอยู่ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (บางกอกโพสต์) ความเห็น: ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสามารถบ่งบอกถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ
  • คาดอนุมัติโครงการรถไฟรางคู่เฟส 2 เร็วๆ นี้ โครงการรถไฟรางคู่เฟส 2 มูลค่ากว่า 3.98 แสนล้านบาท ครอบคลุม 9 เส้นทาง หรือ 2,217 กม. คาดจะถูกเสนอเข้าที่ประชุม ครม. เพื่ออนุมัติภายในเดือนนี้หรือต้นปีหน้า และการก่อสร้างคาดจะเริ่มต้นได้ภายในปี 61(บางกอกโพสต์)
  • คาดตัวเลขค้าปลีกฟื้นตัว สมาคมผู้ค้าปลีกไทยคาดการณ์อุตสาหกรรมค้าปลีกจะขยายตัว 3.2-3.4% ในปี 60 ก่อนจะเร่งตัว 3.8-4% ในปี 61 และ 4.5% ในปี 62 หนุนโดยเศรษฐกิจที่ขยายตัว โครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ สถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพขึ้น และราคาผลผลิตทางการเกษตรที่สูงขึ้น (บางกอกโพสต์)
  • คณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป (อียู) แถลงว่า อียูตกลงจะปรับความสัมพันธ์ด้านการเมืองกับประเทศไทย และกลับเข้าสู่การติดต่อทางการเมืองกับไทยในทุกระดับ เนื่องจากไทยมีการรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และเตรียมการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.2561 ซึ่งทำให้ไทยมีความเหมาะสมที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ด้วย(ที่มา --โพสต์ทูเดย์) ความเห็นช่วยให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหภาพยุโรปปรับตัวดีขึ้นเป็นบวกกับตลาดหุ้นโดยรวม
  • คณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้กำหนดประชุมนัดพิเศษวันที่ 15 ธ.ค.นี้ เพื่อพิจารณาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน กรุงเทพฯ-ระยอง วงเงิน 2.15 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) คาดว่าจะสามารถเห็นชอบโครงการได้ในการประชุมครั้งนี้ (ที่มา --โพสต์ทูเดย์) ความเห็น ช่วยสร้างความเชื่อมั่นกับภาคเอกชน เป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: (11 ธ.ค.) ดาวโจนส์ และ S&P 500 ปิดทำนิวไฮ หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 12-13 ธ.ค.นี้ คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากปรับขึ้นในเดือน มี.ค.และมิ.ย.
  • เกิดเหตุก่อการร้ายในย่านไทม์สแควร์ เมืองแมนฮัตตันของสหรัฐฯ 10 ธ.ค.60 ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายตลาดหุ้นนิวยอร์กในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน นักลงทุนก็เริ่มคลายความตื่นตระหนก ซึ่งช่วยให้การซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ตำรวจนิวยอร์กสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง วัย 27 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการที่ไปป์บอมบ์ที่เขาทำขึ้นได้เกิดระเบิดออกมา ขณะที่เหตุก่อการร้ายในครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 4 คน
  • ตลาดหุ้นยุโรป: ปิดลบ (11 ธ.ค.) เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้สร้างแรงกดดันต่อตลาด
  • ตลาดหุ้นลอนดอน:ปิดในแดนบวก (11 ธ.ค.) ด้วยอานิสงส์จากสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สืบเนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรจะผลักดันข้อเสนอ Brexitที่มีการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนหน้าการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (EU) ในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมันดิบ: (WTI เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 57.99 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ เพิ่มขึ้น1.29 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 64.69 ดอลลาร์/บาร์เรล) หลังจากมีรายงานว่า ท่อส่งน้ำมันขนาดใหญ่ในทะเลเหนือของอังกฤษ จะปิดทำการซ่อมแซมเป็นเวลาหลายสัปดาห์ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังปรับตัวขึ้น หลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายในย่านไทม์สแควร์ของสหรัฐเมื่อวานนี้
  • ดัชนีค่าระวางเรือเทกอง: ปิดปรับตัวสูงขึ้น 25 จุด หรือ +1.47% สู่ระดับ 1,727 จุด สร้างปัจจัยบวกต่อ PSL, TTA ในขณะที่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นไม่มีผลต่อ PSL และ TTA