ฝัน 'ดร.สุรินทร์' ชิงผู้ว่าฯกทม. หวังตำแหน่งเพียงครั้งเดียว

ฝัน 'ดร.สุรินทร์' ชิงผู้ว่าฯกทม. หวังตำแหน่งเพียงครั้งเดียว

"สุทธิชัย" คุยกับลูกชายคนโตของ "ดร.สุรินทร์" เบื้องลึกจะลงเลือกตั้งชิง "ผู้ว่าฯกทม." คือแสวงตำแหน่งเพียงครั้งเดียวในชีวิต

หลังการจากไปของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย หลายๆ คนต่างก็พูดถึงความดีของเขาในแง่มุมต่างๆ เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมา “ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ” บุตรชายคนโตของดร.สุรินทร์ ที่กำลังศึกษาปริญญาเอก ม.อ๊อกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ มาร่วมพูดคุยถึงคุณพ่อของเขา กับ สุทธิชัย หยุ่น ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ ในมุมของคนในครอบครัว รวมถึงเรื่องที่เคยเป็นกระแสข่าวอย่างการ เตรียมชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ของดร.สุรินทร์ด้วย

“ทันทีที่ได้ทราบข่าวการจากไปของคุณพ่อ ก็รีบบินกลับมาทันที เพราะตามหลักความเชื่อของอิสลามแล้วพิธีศพจะต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 24 ชม. โดยที่ผ่านมา ท่านไม่มีวี่แววว่ามีอาการป่วย เรื่องที่เกิดขึ้นกระทันหันมากๆ แชทล่าสุดระหว่างผมกับคุณพ่อ คือการส่งลิงค์ ที่ผมให้สัมภาษณ์กับสื่อเรื่องกาแฟ และมุมมองทางการเมือง” ฟูอาดี้เริ่มเปิดประเด็น ถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน และไม่มีสัญญาณบอกเหตุล่วงหน้า

เขายังเล่าให้ฟังอีกว่า คุณแม่ได้บอกเล่ากับผมว่า หลังจากที่คุณพ่อทานข้าว ก็ได้ขึ้นห้องพัก เพื่อเตรียมจะไปพูดที่งานฮาลาล ซึ่งเป็นงานใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารชาวมุสลิม แต่อยู่ดีๆก็บ่นกับแม่ของผมว่าเจ็บหน้าอก แล้วก็หมดสติไป แม้ขณะนั้นคิดว่าส่งไปโรงพยาบาลเร็วแล้ว แต่ทว่าไม่สามารถยื้อชีวิตได้ โดยคุณหมอระบุว่าเป็นอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนท่านอยู่ที่บ้าน ทั้งๆที่ท่านไปต่างประเทศบ่อยมากๆ และเย็นในวันนั้น ท่านเตรียมตัวไปสิงคโปร์ด้วย ต้องเรียนว่าตารางงานของคุณพ่อท่านมีแน่นมาก น้อยกว่า 10% ที่จะอยู่บ้าน

“เก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.” คือการแสวงหาตำแหน่งครั้งเดียวของดร.สุรินทร์

ฟูอาดี้ เล่าถึงความตั้งใจในช่วงสุดท้ายของชีวิตผู้เป็นพ่อ เรื่องการลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่า กทม. ด้วย ว่า “ทั้งชีวิตผม ไม่เคยได้ยินว่าคุณพ่ออยากแสวงหาตำแหน่ง แต่มีครั้งเดียวที่ผมรู้สึกได้ว่า คุณพ่อมีความต้องการเข้าชิงตำแหน่งจริงๆ นั่นก็คือ “ผู้ว่าฯ กทม.” ถือเป็นอะไรที่แปลกพอสมควร ส่วนใหญ่ที่ผ่านมา จะมีคนมอบตำแหน่งให้มากกว่า ที่ผ่านมาคุณพ่อก็ปฏิเสธตำแหน่งต่างๆจากรัฐบาลเยอะ แต่ว่าไม่เป็นข่าว คือคุณพ่อเข้าใจทุกๆคน แต่ส่วนตัวเขาแล้วไม่สามารถรับหลายๆตำแหน่งที่มีการเสนอเข้ามาพร้อมกันได้ แต่ก็ช่วยเหลือคนอื่นได้ถ้าจำเป็นจริงๆ และไม่ขัดกับหลักจริยธรรมของท่านเอง”

"จริงอยู่ที่แนวคิด 'การพัฒนาประเทศไทยต้องเริ่มจากเมืองหลวงก่อน' ทำให้คุณพ่ออยากชิงตำแหน่ง ผู้ว่าฯกทม. แต่ทว่าเหตุผลหลักที่คุณพ่อบอกกับผมนั้น และน่าจะเป็นจุดที่ทีมงานของคุณพ่อใช้หาเสียงด้วย คือการที่เขาอยากทำให้เชื่อว่าคนกรุงเทพฯ และคนไทยยังมีความรักในประชาธิปไตย โดยท่านจะเอาตัวเองเข้าเป็นหนึ่งในความตื่นเต้นของการเลือกตั้ง"

ลูกชาย ดร.สุรินทร์ ยอมรับว่า กลัวว่าผู้เป็นพ่อจะแพ้ในการเลือกตั้ง "แต่ท่านก็ไม่กลัว ท่านบอกว่าถ้ายิ่งแข่งแล้วสูสี ก็เป็นเรื่องดี เพราะความตื่นตัวในประชาธิปไตยของคนในสังคมกลับมา แต่คนรอบข้างคุณพ่อมองว่า จุดนี้ไม่ได้น่าจะขายได้ และอีกเรื่องที่พ่อผมอยากจะผลักดันก็คือ เรื่องการศึกษาที่ ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญ แต่คนกรุงเทพไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ในเรื่องนี้"

“แต่ว่าแนวคิดแรกของคุณพ่อน่าสนใจ เพราะว่าคนกรุงเทพฯมักจะมีปัญหาเรื่องนี้ การประท้วงของคนชนชั้นกลางถูกตั้งคำจากสื่อนอก และสื่อไทยฝ่ายซ้ายมาก โดยคุณพ่อก็ต้องโชว์ให้เห็นว่าเรื่องนี้ยังคงมีอยู่ในหมู่คนชั้นกลาง ซึ่งท่านเชื่อว่ามี แต่จุดขายเรื่องนี้ก็ต้องมีการศึกษาให้ดีๆ เพราะถ้าจะเอาเรื่องประชาธิปไตยเป็นจุดขายก็ดูจะดูเป็นนามธรรมไปหน่อย แต่คุณพ่อก็เชื่อมั่นในเรื่องนี้”

ฟูอาดี้เผยว่าความคืบหน้าล่าสุด ถึงการล่าเก้าอี้ตัวนี้ อยู่ในจุดที่สร้างกลุ่มคนที่พร้อมช่วยงานคุณพ่อจากหลายๆฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีการเตรียมวางแผน เตรียมทำแบบสำรวจ แต่ใจของคุณพ่อมองไปข้างหน้าไกลแล้ว

ฟูอาดี้ บอกว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการที่ ดร.สุรินทร์ จะลงสมัครผู้ว่า กทม. เพราะคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ รวมทั้งภรรยาของ ดร.สุรินทร์ และลูกชายคนเล็ก ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน มีเพียงลูกชายคนกลางของ ดร.สุรินทร์เท่านั้นที่ไม่คัดค้าน

"แต่แม้ผมไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดกั้นแนวคิดของพ่อ และคิดว่าถ้าพ่อสามารถหาโน้มน้าวให้เขาเห็นด้วยได้ เขาก็ไม่คัดค้านอยู่แล้ว และพร้อมจะช่วยพ่อ แต่ถ้าพ่อชนะการเลือกตั้งแล้ว ผมจะขออยู่ต่างประเทศ เพราะไม่อยากให้เกิดภาพว่าเข้ามามีอิทธิพลในการตัดสินใจในการทำงานของพ่อ เพราะผมมองว่าเรื่องการเมืองไม่ใช่เรื่องการสืบทอดอำนาจทางครอบครัว"

การรับช่วงต่อทางการเมืองจากคุณพ่อ

ฟูอาดี้ ยอมรับว่า ตอนนี้มีคนเสนอให้ลงสมัครผู้ว่า กทม. หลังจากผู้เป็นพ่อไม่อยู่แล้ว แต่เขาไม่เห็นด้วย

"สำหรับผม คือเรื่องการเมืองไม่ควรเป็นเรื่องการสืบทอดอำนาจ แบบว่าคุณพ่อไม่อยู่ให้ลูกหลาน ภรรยา ลงสมัครแทน"

ส่วนเรื่องการเล่นการเมืองในอนาคตตามรอยผู้เป็นพ่อนั้น ฟูอาดี้ บอกว่า "ผมว่าการเล่นการเมืองต้องมาจากใจ คิดว่าตัวเองดีพอที่จะมอบอะไรให้สังคม สำหรับผมแล้วกว่าจะถึงจุดนั้นคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งจริงๆคุณพ่อไม่อยากให้เล่นการเมืองอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าท่านมีประสบการณ์มาก่อน ท่านหนุนให้ผมเรียนอะไรที่หางานได้ง่ายๆ ซึ่งตอนนี้ใจผมยังไม่พร้อมเรื่องการเมือง กำลังสนใจในเรื่องของกาแฟอยู่ ซึ่งเรื่องการเมืองต้องหาประสบการณ์อีกสักนิด รวมถึงตอนนี้ยังติดเรียนอยู่ด้วย"

สำหรับบรรยากาศการเมืองไทยตอนนี้ ฟูอาดี้ มองว่า แต่ถ้าคนที่เก่งๆถอยหมด การเมืองไทยก็ยิ่งเละกว่านี้ และถ้าตนจะเข้าสู่การเมืองตอนนี้ก็คงจะเหนื่อย ฉะนั้นขอเวลาชั่งใจ ขอเวลาเรียนรู้ ซึ่งคิดว่าความเข้าใจกับชนชั้นกลุ่มต่างๆ สำคัญมาก เพราะที่ผ่านตนเรียนนานาชาติ ซึ่งจับต้องกับคนรากหญ้าได้ยากมาก แต่พอได้ทำธุรกิจกาแฟก็ได้เห็นปัญหาอื่นๆ รวมถึงได้เห็นเพื่อนๆที่ขายกาแฟด้วยกัน เขาก็มีความสุขอยู่การคิดถึงยอดขายกาแฟ พื้นที่ภาคเหนือที่หลายๆ คนมองว่าเป็นฐานเสียงของคนเสื้อแดง จริงๆแล้วก็ย้อนกลับมาเรื่องของปัญหาปากท้องจริงๆ

“แนวคิดเรื่องประชาธิปไตย หรือเรื่องการปฏิรูปของคนกรุงเทพฯ จริงเป็นแนวคิดที่ห่างจากคนต่างจังหวัดมากๆ ซึ่งธุรกิจกาแฟ ทำให้เราเข้าใจกับคนรากหญ้า และชาวบ้านมากขึ้น เป็นประสบการณ์ที่รั้วโรงเรียน และมหาวิทยาลัยสอนให้ไม่ได้ ทำให้ผมรู้สึกอยากจะนำความรู้ที่เรียนมา กลับมาช่วยคนในชุมชนที่ตนทำกาแฟด้วยที่ภาคเหนือ ส่วนสิ่งที่คุณพ่ออยากให้สืบสานต่อนั้น ท่านไม่เคยพูดว่าจะให้ผมเป็นอะไร เพียงแต่พูดว่าอยากให้จบปริญญาเอก ส่วนจบแล้วจะทำอะไรที่ไหนก็ได้ หรือจะอยู่เมืองนอกท่านก็ไม่ว่าก็ไม่ว่า” บุตรชายคนโตของ กล่าวทิ้งท้ายต่อประเด็นนี้

สำหรับเรื่องการเตรียมลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ของ ดร.สุรินทร์ มีกระแสข่าวมานานตามสื่อต่างๆ ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ ดร.สุรินทร์ เสียชีวิต นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ก็ได้ร่วมสะท้อนความฝันของ ดร.สุรินทร์ ในเรื่องนี้ด้วย

ทั้งนี้นายสุเทพ ได้โพสต์ข้อความที่ระบุว่า ดร.สุรินทร์ ส่งหาเขาจากนครเจนีวา เมื่อ 27 มิถุนายน ลงในเพจ Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ) เป็นข้อความภาษาอังกฤษ มีใจความโดยสรุปว่า "พร้อมที่จะทำงานในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. เพื่อประชาธิปไตยที่เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้จะดีกับทุกๆคนแน่นอน แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะลงสมัครแบบสังกัดพรรคหรือไม่ คงต้องขอพิจารณาจากหลายๆปัจจัย ขอบคุณที่ไว้วางใจผมที่ให้ทำภารกิจเพื่อประเทศ"

ตำแหน่งหน้าที่การงาน ไม่ใช่ความภูมิใจของพ่อ

ลูกชายคนโต ของ ดร.สุรินทร์ ยังกล่าวถึงบทบาทที่สำคัญของ ดร.สุรินทร์ ว่า บทบาทที่สำคัญที่สุดของ ดร.สุรินทร์ คือ เรื่องที่คุณพ่อทำไว้ภาคใต้ คือการสนับสนุนโรงเรียนบ้านเกิดของท่านเอง เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆเหล่านี้

"คุณพ่อน่าเข้าใจความรู้สึกของน้องๆ และสามารถบอกเล่าประสบการณ์กับพวกเขาได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะท่านเองก็มาจากจุดนั้นเหมือนกัน ต่างจากผมที่เกิดมาก็อยู่ในครอบครัวชั้นกลางเลย"

“เด็กปอเนาะทุกๆคนก็มีโอกาสเหมือนพ่อผม พวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อย แต่ว่าคุณพ่อก็ทำให้เห็นว่า เราสามารถตีกระจกที่ขวางกั้นสู่เป้าหมายแตกได้ ท่านพูดเสมอว่าถ้าท่านทำได้ ทุกคนก็ทำแบบนี้ได้ นี่คือสิ่งที่คุณพ่อน่าจะภูมิใจมากที่สุด ไม่ใช่การเป็นเลขาธิการอาเซียน การเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ หรือเป็นนักพูดระดับนานาชาติได้ สิ่งที่ท่านทำทุกอย่างก็เพื่อย้อนกลับมาบ้านเกิดของท่านเอง”

แนวคิดจากพ่อสู่ลูกคนโต

“คุณพ่อสอนตลอดว่า ให้ใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น ซึ่งมาจากการอ่านปรัชญา ที่ผ่านมาก็พยายามทำเพื่อคนอื่นมาตลอดตามกำลังตัวเองที่มี แค่ผมก็ตั้งคำถามว่าถ้าช่วยคนอื่นตลอด แล้วอะไรจะเป็นตัวตนของเรา ก็มีน้อยใจคุณพ่อบ้าง แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผมก็ได้เห็นว่าบางคนที่ผมไม่เคยรู้จัก แต่มาเยี่ยมคุณพ่อที่บ้าน”

ฟูอาดี้เล่าต่อไปว่า ดังนั้นสิ่งที่ผมได้จากคุณพ่อก็คือการทำงานเพื่อคนอื่น เพื่อสังคม อีกเรื่องคือเรื่องการถ่อมตนทางปัญญา วิชาการ เราต้องอัพเดทตัวเอง และหาความรู้เสมอ เพราะถ้าเราไม่เปิดรับข้อมูลใหม่ๆ เราก็เป็นคนสุดโต่งไป ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่าปัญหาการเมืองปัจจุบันที่เกิดขึ้น ก็เพราะเป็นเช่นนี้

ได้ฟังเรื่องราวของผู้เป็นพ่อ จากปากลูกชาย น่าจะยิ่งทำให้หลายๆคน เสียดายคนมีความรู้ความสามารถอย่าง "ดร.สุรินทร์" มากขึ้นไปอีก!!