เปิดปมเลือก '2กกต.สายศาล' ลับหรือไม่ลับ?

เปิดปมเลือก '2กกต.สายศาล' ลับหรือไม่ลับ?

ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา วินิจฉัยแล้ว ปัญหาข้อก.ม.วิธีลงคะแนนเลือก2กกต.ไม่ใช่ลับ ส่วนห้องประชุมขั้นปฏิบัติต้องไร้คนนอกไม่เกี่ยวข้อง สุดท้ายสนช.ชี้ขาดเห็นชอบหรือไม่

จากกรณีที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร รักษาการ กกต.ได้ออกมาเปิดเผยว่าการประชุมใหญ่ศาลฎีกาเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมาเพื่อเลือกผู้สมควรเป็น กกต. 2 คนนั้น จะขัดกับข้อกำหนดการให้ลงคะแนนเลือกโดยเปิดเผย แต่กลับเป็นการลงคะแนนลับนั้น

จากการตรวจสอบพบว่า ในการประชุมใหญ่ศาลฎีกาในการลงคะแนนเลือกผู้สมควรได้เป็น กกต. นั้น มีการเรียกประชุมรวม 2 ครั้ง ซึ่งจำนวนผู้พิพากษาที่มีในศาลฎีกาและมีสิทธิเข้าประชุมตามจำนวนคือ 176 คน แต่ในการประชุมนั้นไม่ได้เข้าครบเต็มจำนวนเนื่องจากบางคนติดภารกิจ โดยการเข้าประชุมมีจำนวนผู้พิพากษา ประมาณ 95 % จากจำนวนทั้งหมด 176 คน โดยครั้งแรกประชุมเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2560 ซึ่งกระบวนการประชุมนั้น ก็ให้มีเฉพาะผู้พิพากษาที่มีสิทธิลงคะแนนและผู้เกี่ยวข้องในการคัดเลือกเท่านั้นได้ร่วมประชุม บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม ขณะที่ก่อนเริ่มกระบวนการเลือกผู้ถูกเสนอชื่อ ก็ได้หารือกันในที่ประชุมถึงความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับวิธีการลงคะแนนโดยเปิดเผยว่าวิธีการลงคะแนนจะเป็นอย่างไรต่อระดับการเปิดเผย ซึ่งมีผู้พิพากษาอาวุโส เสนอการลงคะแนนโดยไม่ต้องระบุชื่อผู้พิพากษาที่ลงคะแนน

ขณะที่เมื่อลงคะแนนให้นำบัตรนั้นหย่อนในตู้ที่ประชุม ซึ่งผู้พิพากษาทุกคนจะมองเห็นได้ โดยการประชุมนั่งตามลำดับอาวุโสอยู่แล้ว ซึ่งสุดท้ายรองประธานศาลฎีกา 6 คนที่อยู่ในที่ประชุมก็มีมติเสียงข้างมาก เห็นว่า การกาเครื่องหมายบนบัตรลงคะแนนที่ผู้พิพากษาแต่ละคนลงคะแนนโดยตรงจากจำนวนบัตรที่พิมพ์ตามจำนวนผู้พิพากษาเป็นการกระทำโดยเปิดเผยแล้ว ซึ่งผลการนับคะแนนเสียงที่ประชุมผู้พิพากษาข้างมากกว่า 100 คน ลงคะแนนให้ "นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี" ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา จากการลงคะแนนเพียงรอบแรกก็ผ่านด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้พิพากษาที่เข้าประชุมจากครั้งนั้นมีผู้สมัครถูกเสนอรวม 5 คน

ส่วนอีก 4 คนก็ให้ที่ประชุมลงคะแนนอีกในรอบที่ 2 ตามระเบียบการคัดเลือกฯแต่ปรากฏว่า ใน 4 คนยังไม่มีผู้ใดคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งจากที่ประชุม จึงต้องให้ดำเนินการรับสมัครใหม่เพื่อเลือกผู้ที่สมควรเป็น กกต.อีก 1 คนให้ครบตามจำนวน หลังจากนั้นจึงได้ดำเนินเปิดรับสมัครใหม่ กระทั่งวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา จึงกำหนดนัดประชุมใหญ่ศาลฎีกา อีกครั้งที่ 2 เพื่อลงคะแนนเลือกผู้สมัครใหม่ที่สมควรได้เป็น กกต. ขณะที่เมื่อจะลงคะแนน ในที่ประชุมใหญ่ก็ได้พิจารณาประเด็นข้อกฎหมายถึงวิธีการลงคะแนนอีกเช่นกันแล้วว่าเป็นการกระทำการโดยเปิดเผยซึ่งที่ประชุมใหญ่มีมติด้วยเสียงข้างมากแล้วชัดเจน 86 ต่อ 77 (ตามที่นายสมชัย อดีต กกต. กล่าวถึง)

และเมื่อได้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครที่มีคุณสมบัติครบถ้วนก็ได้ "นายปกรณ์ มหรรณพ" ผู้พิพากษาศาลฎีกา ด้วยคะแนนเสียงประมาณ 106-107 คะแนนซึ่งเกินครึ่งหนึ่งจากที่ประชุม จากผู้สมัครที่ถูกเสนอชื่อครั้งนี้ มี 2 คน จากนั้นกระบวนการลงคะแนนเลือกผู้สมควรเป็นกกต.ทั้ง 2 คน จึงได้ดำเนินการเสร็จสิ้นตามข้อกำหนดแล้ว และรอเสนอรายชื่อให้ สนช.พิจารณาเห็นชอบรวมกับอีก 5 คนที่คณะกรรมการสรรรหาได้ลงมติเลือกไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนี้ สนช. ต้องดำเนินตามกระบวนการพิจารณาว่าจะเห็นชอบทั้ง 7 คนหรือไม่ หรือจะเห็นว่ามีข้อที่เป็นปัญหาตามการตั้งข้อสังเกตุของนายสมชัย รักษาการ กกต. ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นโดย สนช.ไม่เห็นชอบผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จากความเห็นต่างข้อกฎหมายเกี่ยวกับวิธีการลงคะแนนแล้ว กระบวนการต้องกลับมาสู่การเปิดรับสมัครและลงคะแนนเลือกใหม่ต่อไป