'คอมเซเว่น' จัดทัพใหม่ เพิ่มธุรกิจรองลด 'ค้าปลีก'

'คอมเซเว่น' จัดทัพใหม่ เพิ่มธุรกิจรองลด 'ค้าปลีก'

สำรวจต้นเหตุราคา หุ้น คอมเซเว่น พุ่ง 434.32% ในช่วง 2 ปีก่อน ผ่านปากเจ้าของตัวจริง 'สุระ คณิตทวีกุล' ปรับกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจรองเพิ่มเป็น 40% ลดสัดส่วนรายได้ค้าปลีกเหลือ 60% เดิม 90%

ผลงาน 'โดดเด่น' ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2558-2559) สะท้อนผ่านตัวเลข 'กำไรสุทธิ' ที่ขยับขึ้น จากระดับ 268 ล้านบาท เป็น 406 ล้านบาท ส่งผลให้ราคา หุ้น คอมเซเว่น หรือ COM7 ผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าไอทีรายใหญ่ของประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วเฉลี่ย 434.32% จากราคาไอพีโอ 3.35 บาท โดยราคาสูงสุด 17.90 บาท (16พ.ย.60) ราคาต่ำสุด 2.80 บาท (25ส.ค.58) 

ขณะที่ 'มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด' หรือ Market Cap ขยับเพิ่มขึ้นจาก 4,992 ล้านบาท เป็น 20,280 ล้านบาท (28พ.ย.60) พุ่งกว่า 306.25%

ขณะเดียวกัน หุ้น COM7 ยังได้ความสนใจ จากเหล่ากองทุนในประเทศมากขึ้น บ่งบอกผ่านการทยอยเข้าถือหุ้นของนักลงทุนไม่ว่าจะเป็น กองทุนเปิด ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30  , กองทุนเปิด ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งจดทะเบียนแล้ว โดย บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด 

กองทุนเปิด บรรษัทภิบาล หุ้นระยะยาว , กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ , บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจดทะเบียนแล้ว สัดส่วนลงทุน 1.76% 1.00% 0.91% 0.71% 0.64% 0.57% และ 0.50% (ตัวเลขวันปิดสมุดทะเบียน 10 มี.ค.2560) 

'สุระ คณิตทวีกุล' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คอมเซเว่น หรือ COM7 เล่าให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังว่า กำไรสุทธิที่ขยายตัวตัวต่อเนื่อง มาจากการที่บริษัทขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับตลาดสินค้าไอทียังมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ (สมาร์ทโฟน) ที่ปัจจุบันกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของทุกคน ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งสินค้าสมาร์ทโฟนทั้งประเทศมียอดขายปีละ 15 ล้านเครื่อง หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ประกอบกับเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดมีการออกสินค้ารุ่นใหม่ๆ 

ฉะนั้น จึงเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล และเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการสินค้าไอที !!  

เมื่อเจาะลึกสตอรี่ดันฐานะการเงิน นายใหญ่ แจกแจงว่า ธุรกิจหลักแบ่งออกเป็น 4 ธุรกิจ 'ธุรกิจค้าปลีก' แบ่งเป็น 3 แบรนด์ จำนวนมากกว่า 400 สาขา ประกอบด้วย ร้าน BaNANA IT แห่งรวมสินค้าไอทีครบวงจร ร้าน Studio 7 จำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ของ Apple ที่ปัจจุบันบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และ ร้าน BKK เป็นร้านขายโทรศัพท์มือถือมัลติแบรนด์  นอกจากนี้ยังมีร้านขายมือถือเฉพาะแบรนด์ทั้ง Samsung, Oppo, Vivo, Huawei 

'ธุรกิจบริการ' แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ การบริหารงานให้กับ True Shop ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 70 สาขา การบริหารพื้นที่ขายสินค้าไอทีของห้างเทสโก้ โลตัส จำนวนกว่า 30 สาขา และศูนย์บริการหลังการขายของ Apple ภายใต้ชื่อ iCare อีกกว่า 20 สาขา

'ธุรกิจออนไลน์' ถือเป็นธุรกิจใหม่ที่บริษัทเพิ่งเปิดบริการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมการซื้อสินค้าและหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นบริการเสริมให้กับลูกค้าคู่ขนานไปกับการขายผ่านหน้าร้าน ตอนนี้ถือว่ายอดขายออนไลน์ปรับตัวขึ้นทุกเดือน แต่คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 5% ของยอดขายทั้งหมด แต่เชื่อว่าปีนี้จะมีสัดส่วนยอดขายเพิ่มเป็น 10% ของยอดขายรวม  

และ 'ธุรกิจการขายสินค้าให้กับกลุ่มลูกค้าองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน' ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราว 80,000 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นตลาดใหญ่เบอร์ 2 รองจากตลาดค้าปลีก ซึ่งเป็นตลาดที่น่าสนใจเนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีใครเป็นเจ้าตลาดที่ตายตัว ขณะที่บริษัทมีข้อได้เปรียบตรงที่มีจำนวนเครือข่ายครอบคลุมสามารถให้บริการลูกค้าได้ทันที 

เขา บอกต่อว่า กลุ่มลูกค้าองค์กรจะเป็นตลาดที่ 'คอมเซเว่น' จะโฟกัสในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เพราะว่าต้องลงทุนในด้านระบบและไอทีก่อน ซึ่งเป้าหมายลูกค้าตั้งแต่ระดับ ธุรกิจขนาดเล็ก หรือ SME จนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ปัจจุบันลูกค้าเหล่านี้อาจจะซื้อสินค้าผ่านหน้าร้าน แต่อาจจะยังไม่รู้จักบริษัทในนามนิติบุคคล ตอนนี้ก็จะทำตลาดมากขึ้น โดยเริ่มต้นจากการขายให้กับบริษัทที่อยู่ที่เดียวกันก่อน พอสินค้าเขามีปัญหาเราก็สามารถส่งคนเข้าไปให้บริการได้ทันที

“กลางปีที่ผ่านมาเริ่มเข้าไปทำตลาดตามมหาวิทยาลัย ในการขายสินค้าไอทีต่างๆ รวมทั้งมีแผนขยายไปยังหน่วยงานอื่นเพิ่มเติมในอนาคต และยังอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะให้บริการอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น ระบบรักษาความปลอดภัย, บริการคลาวด์ โซลูชั่น' 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เล่าต่อว่า แผนธุรกิจ 3 ปีข้างหน้า (2561-2563) บริษัทตั้งเป้าลดสัดส่วนรายได้จาก 'ธุรกิจค้าปลีก' เหลือ 60% จากปัจจุบัน 90% โดยเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจบริการ ,ธุรกิจออนไลน์ และธุรกิจลูกค้าองค์กร เป็น 40% เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาธุรกิจเดียว ประกอบกับธุรกิจค้าปลีกมาร์จิ้น 10-40% (ขึ้นอยู่แต่ละสินค้า) ขณะที่ ธุรกิจบริการมีมาร์จิ้นราว 30% 

สำหรับแผนขยายธุรกิจปี 2561 ตั้งเป้าขยายสาขาร้านค้าปลีกเพิ่มเป็น 600 สาขา จาก 400 สาขา เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นทีทั่วประเทศ ซึ่งใช้เงินลงทุนสาขาละ 3-10 ล้านบาท  นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดขายแฟรนไซส์ให้กับผู้ประกอบการที่สนใจเปิดร้านในต่างจังหวัด โดยทำเลเน้นในพื้นที่อำเภอรองๆ ที่ยังไม่มีสาขาของบริษัท มูลค่าการลงทุน 7 แสนบาท-1.2 ล้านบาท ตั้งเป้ามีรายได้ผ่านแฟรนไซส์ปีละ 3,000 ล้านบาท ปีหน้าคาดบริษัทขายแฟรนไซส์ 200 สาขา ปัจจุบันมีลูกค้าสนใจเข้ามากว่า 70 รายแล้ว  

ภาพรวมตลาดไอทีมองแนวโน้มยังเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนเห็นภาพจากตลาดตลาดคอมพิวเตอร์เริ่มกลับมาศึกคักอีกครั้งในปีนี้หลังตลาด 'ติดลบ' มากว่า 4 ปี ส่วนตลาดมือถือเติบโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะตลาดสมาร์ทโฟนที่รองรับ 4จี ซึ่งส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทยังน้อย เนื่องจากเพิ่งเข้ามาจำหน่ายมือถือได้เพียง 3 ปีเท่านั้น 'จึงเป็นโอกาสที่บริษัทจะเติบโตได้อีกมาก'  

ขณะที่ธุรกิจบริการมีโอกาสเติบโตได้ตามจำนวนผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยบริษัทได้เริ่มนำสินค้าของ Apple เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อ 12 ปีที่แล้ว เนื่องจากมองว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีมีนวัตกรรมที่ไม่เหมือนใคร โดยเริ่มต้นจากนำไอพอดที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนั้นเข้ามาจำหน่าย ปรากฎว่าได้รับการตอบรับดีมาก และเป็นจังหวะเดียวกันกับทาง Apple ที่หันมาเจาะตลาดผู้บริโภคด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ตามมาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นไอโฟน แมคบุ๊ค จากก่อนหน้านี้ที่จะเน้นในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์เป็นหลัก

'ตอนนี้เราถือเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Apple รายใหญ่ที่สุดในประเทศ เราได้ไปเสนอแผนธุรกิจกับเขาเมื่อ 12 ปีที่แล้ว เขาก็เห็นว่าเราตั้งใจจริงก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ พอมาเริ่มเปิดสาขาก็ปรากฎว่าขายดีมาก ตอนนี้ก็เน้นขยายออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น'

เขา บอกว่า กรณีที่ Apple จะเข้ามาเปิด Flagship Store ในประเทศไทย มองว่าจะเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดให้ศึกคักมากขึ้น ไม่ได้มองว่าจะเข้ามาแย้งลูกค้าจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย เพราะโดยปกติแล้วการเปิด Flagship Store ของ Apple จะเน้นเรื่องการให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเป็นหลัก ไม่ได้เน้นขายสินค้า หาก Apple ต้องการเข้ามาแข่งจริงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดสาขาก็ได้เนื่องจากใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงเป็นหลักพันล้านบาทซึ่งอาจจะไม่คุ้ม เพียงแค่ Apple ขายผ่านออนไลน์และตัดราคาลงเล็กน้อยคนก็ซื้อแล้ว 

นอกจากนี้เรื่องของสถานที่ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญเพราะสินค้าเหมือนกัน ราคาไม่ต่างกัน คนต่างจังหวัดก็คงไม่ต้องเข้ามาซื้อถึงกรุงเทพฯ ดังนั้นจึงมองว่าการเข้ามาของ Apple ในครั้งนี้น่าจะทำให้ตลาดรวมเติบโตขึ้นมากกว่า  

'ในปีนี้ Apple เปิดตัวไอโฟนใหม่ 3 รุ่น ถือเป็นปัจจัยพิเศษที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นยอดขายของบริษัท ปกติมียอดขายไอโฟนเติบโตทุกปี และสินค้า Apple คิดเป็นสัดส่วนยอดขายสูงสุดของบริษัท'  

วิเคราะห์ผลการดำเนินงานปีนี้ เขามั่นใจว่า รายได้จะเติบโตสูงสุดทำสถิติใหม่แตะ 20,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน โดยเป็นยอดขายมือถือไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท คิดเป็น 40% ขณะที่งวด 9 เดือน ปี 2560 มีรายได้ 15,000 ล้านบาท เติบโต 30% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มีรายได้ 11,000 ล้านบาท  สำหรับไตรมาส 4 ปี 2560 ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ โดยจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ และปีนี้ยังได้รับอานิสงค์จากมาตรการช้อปช่วยชาติในช่วงระหว่างวันที่ 11 พ.ย.-3 ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงนี้เพิ่มขึ้นได้อีกราว 10% 

นอกจากนี้ บริษัทต้องการกระจายการลงทุนไปในธุรกิจใหม่ๆ ไม่ยึดอยู่แค่ธุรกิจค้าปลีก เพราะต้องการมีรายได้จากหลายช่องทาง เวลาธุรกิจไหนประสบปัญหาก็จะได้มีรายได้จากธุรกิจอื่นเข้ามาช่วยทดแทน โดยบริษัทตั้งเป้าการเติบโตปีละประมาณ 20% 

'ปีหน้าก็คงโตไม่แพ้ปีนี้ เพราะธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็จะไปเห็นผลชัดเจนปีหน้า ตอนนี้เรากำลังสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เมื่อค้าปลีกโตไปถึงจุดหนึ่งแล้วก็จะมีจุดเสริมใหม่ๆเข้ามา ตอนนี้ก็ขอโฟกัสที่ในประเทศก่อนยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ต่างประเทศก็คิดอยู่แต่ยังไม่เจอพันธมิตรที่เคมีตรงกัน ถ้ายังไม่เจอก็คงยังไม่ไป เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับธุรกิจไอที เพราะแต่ละประเทศก็มีเจ้าตลาดอยู่แล้ว'

'หุ้นใหญ่' ทิ้งทายว่าการดำเนินธุรกิจในระยะต่อไปคงไม่ได้พึ่งพาแค่การเติบโตจากบริษัทเท่านั้น แต่ต้องมองหาพันธมิตรที่มีเทคโนโลยีมีองค์ความรู้เข้ามาเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยต่อยอดธุรกิจ รวมไปถึงการลงทุนในบริษัทอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไอทีเพื่อทำให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการเจรจาหลายรายก็อาจจะได้เห็นความชัดเจนในปีหน้า