Daily Strategy (6 ธ.ค.60)

Daily Strategy (6 ธ.ค.60)

คาด SET Index แกว่งตัว Sideways

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: คาดตลาดหุ้นไทยแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,690-1,710แม้มีปัจจัยหนุนจากกองทุน LTF-RMF ในช่วงนี้ แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับเริ่มเห็นการขายทำกำไรในตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากปรับตัวขึ้นมาแรงรับข่าวการผ่านกฎหมายปฎิรูปภาษีของ Trump โดยมีประเด็นที่น่าจับตามองได้แก่ ความเสี่ยงในการปิดทำการของหน่วยงานรัฐ (Government Shutdown) ของสหรัฐฯ ในวันจันทร์หน้า หากกฎหมายงบประมาณไม่ผ่าน ด้านกลยุทธ์การลงทุนในวันนี้เน้นหุ้นกลุ่มที่เป็นเป้าหมายของกองทุน LTF-RMF ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีและกลุ่มธนาคาร เราชอบ BBL, TCAP, TMB หรือกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวอย่าง  TU, IVL, EPG ที่ได้ประโยชน์จากกฎหมายปฎิรูปภาษีของสหรัฐฯ โดยเราเลือก TU เป็น Pick of  the day ในวันนี้ รวมถึงกลุ่มเดินเรือ ได้แก่ PSL, TTA ที่ดัชนีค่าระวางเรือยังเดินหน้าบวกต่อเนื่อง

 

หุ้นเด่นวันนี้: TU (ราคาปิด 19.10 บาท,“ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 23.00 บาท)

  • TU ได้รับปัจจัยบวกจาก (1) ต้นทุนปลาทูน่าในเดือน พ.ย.60 นี้ ปรับตัวลงเหลือ 2,000 เหรียญฯ ต่อตัน เทียบกับเดือนก่อนที่ 2,300 เหรียญฯ ต่อตัน โดยต้นทุนปลาทูน่าที่เริ่มลดลงน่าจะส่งผลบวกเต็มที่ในไตรมาส 1/61  (2) บริษัทได้รับปัจจัยบวกจากกฎหมายปฏิรูปภาษีของ Trump เนื่องจากมีฐานการผลิตอยู่ในสหรัฐฯ และ (3) รายได้และผลประกอบการของ Red Lobster ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TU  มีแนวโน้มเติบโตดีตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งได้รับผลบวกจากกฎหมายปฏิรูปภาษีของ Trump ด้วยเช่นกัน สำหรับกลยุทธ์ของบริษัทจะเน้นการออกสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่มียังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานในปี 2561 เท่ากับ 5.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19%YoY 
  • Price Pattern ของ TU มีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลางจากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal แต่แนวโน้มหลักยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิด Monthly Sell Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ TU มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 70 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 20.70 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ TU มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 18.20 บาท (แนวต้าน: 19.30, 19.50, 20.00; แนวรับ: 18.90, 18.70, 18.20)

ปัจจัยในประเทศ:

  • เม็ดเงินลงทุนในโรงงานเดือน ต.ค. พุ่งขึ้น 346% YoYคิดเป็นมูลค่ากว่า 32 หมื่นล้านบาท สะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคตะวันออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (ไทยโพสต์)
  • GULF หุ้นโรงไฟฟ้าใหญ่อันดับ 5 ของไทย เตรียมเริ่มซื้อขายใน SET วันนี้เป็นวันแรกด้วยราคา IPO ที่ 45 บาท ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 4,772 MW และตั้งเป้ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 11,125.6 MW ในปี 2567 ราคา IPO ดังกล่าวคิดเป็น P/E ที่ 21 เท่า เทียบกับ P/E กลุ่มที่ 23.79 เท่า (ทันหุ้น)
  • โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารากำหนดวิสัยทัศน์ในอีก 5 ปีข้างหน้า : บริษัทมีแผนจะขยายพอร์ตการลงทุนในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของมูลค่าทรัพย์สินที่บริษัทดำเนินการโดยผ่านการลงทุนและข้อตกลงร่วมใหม่โดยจะเพิ่มโรงแรมและรีสอร์ทที่มีอุปสงค์จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก (Bangkok Post)

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลง (DJ -45%, S&P -0.37%, NASDAQ -0.19%) จากการขายทำกำไร รวมถึงการปรับพอร์ตของนักลงทุนไปยังกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายปฏิรูปภาษีมากขึ้น เช่น กลุ่มธนาคาร นอกจากนี้นักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญต่อโอกาสในการปิดทำการของภาครัฐ (Government Shutdown) ของสหรัฐฯ ในวันจันทร์หน้า หากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้ทันภายในสิ้นสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นยุโรปปิดติดลบเล็กน้อย (FTSE -0.16%, DAX -0.08%, CAC -0.26%) โดยนักลงทุนอยู่ระหว่างการพิจารณาข่าว Brexitเพิ่มเติมและรอตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ๆ

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • น้ำมันดิบสหรัฐฯ ปรับขึ้น 0.26% เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าอุปทานจะลดลง ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันอังคารโดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่ยังแข็งแกร่ง การคาดหมายว่าปริมาณน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐจะปรับตัวลดลง และการขยายเวลาในการจำกัดปริมาณการผลิตน้ำมันของ OPEC ในขณะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากเงินเหรียญสหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้นหลังผ่านกฎหมายปฎิรูปภาษี โดยราคาทองคำในตลาดจรปิดที่ 1,266.15 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ ลดลง -0.78%
  • ดัชนีค่าระวางเรือ Baltic Dry Index เพิ่มขึ้น24% ปิดที่ 1,666 จุด เป็นบวกต่อ TTA และ PSL