Daily Strategy (4 ธ.ค.60)

Daily Strategy (4 ธ.ค.60)

คาดตลาดรีบาวด์-หุ้นกลุ่มแบงก์ได้ปัจจัยหนุนขึ้นนำตลาด

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: อาจรับผลของตลาดหุ้นต่างประเทศผันผวน โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนในชั่วโมงการซื้อขายหนัก ขณะที่ตลาดหุ้นย่านเอเซียเปิดทำการยังไร้ทิศทาง อย่างไรก็ตาม เรามองตลาดหุ้นไทยจะเริ่มกลับมารีบาวด์ดีขึ้นได้จากหุ้นกลุ่มธนาคารกลับมานำตลาด โดยได้รับผลบวกจากกระแสโลก โดยในช่วงเดือนนี้หุ้นกลุ่มธนาคารทั่วโลกก็กลับมา Perform ดีกว่ากลุ่มอื่น อีกทั้งหุ้นกลุ่มธนาคารของไทย Laggard มานาน มีการคาดหวังว่าปี 2561 กำไรของกลุ่มธนาคารจะเติบโตเกิน 10% ขึ้นไป เราจึงให้น้ำหนักการลงทุนช่วงเดือน ธ.ค.นี้ มุ่งเน้นไปที่กลุ่มธนาคาร ที่โดดเด่น ยังเป็น BBL, TCAP, TMB ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคง Laggard คาดว่าการได้รับการผ่อนคลายด้านสินเชื่อจากภาคธนาคาร คาดว่าทำให้เกิดความน่าสนใจการลงทุนเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน Top Pick ของกลุ่มอสังหาฯ ยังเป็น AP, SIRI, ANAN, LH การผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ คาดว่าส่งผลบวกต่อหุ้นไทยที่มีฐานการผลิตในสหรัฐฯ IVL, TU, EPG ได้ประโยชน์

 

หุ้นเด่นวันนี้: LH (ราคาปิด 10.40 บาท; ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 11.60 บาท)

  • LH มียอด Backlog มูลค่า 5,474 ล้านบาทสำหรับรอโอนรับรู้เป็นรายได้ใน 4Q60 โดยรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากโครงการ 333 Riverside, The Bangkok Sathornและ The Key - Charoen Rat บริษัทยังมีจุดแข็งโดยที่มีรายได้หนุนจากค่าเช่าของอพาร์ตเมนต์ Revere ในอเมริกา รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทร่วมอีกเป็นจำนวนมาก โดยทางบริษัทยังคงรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลที่สูงอยู่ต่อเนื่องทุกปีที่ 6-7% เราแนะนำซื้อโดยมี upside 11.5% และมีปันผลสูงโดยให้ราคาเป้าหมายที่ 11.6 บาทต่อหุ้น โอยอ้างอิง PER 5x จากกำไรสุทธิในปี 2561
  • Price Pattern ของ LH ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ก็จะทำให้ Price Pattern ของ LH กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัวอีกครั้ง โดย Price Pattern ของ LH จะกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่เมื่อสามารถปิดตลาดได้เหนือ 90 บาท จะมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 11.40 บาท (Resistance: 10.50, 10.60, 10.70; Support: 10.30, 10.20, 10.10)

ปัจจัยในประเทศ:

  • ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือน พ.ย.(เงินเฟ้อ) เพิ่มขึ้น 0.99% อยู่ที่ 101.45 ปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน หนุนโดยราคาเชื้อเพลิง อาหารสำเร็จรูป บุหรี่ และยาสูบที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ดัชนีเฉลี่ย 11 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 0.66% YoYขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเดือน พ.ย.ปรับขึ้น 0.61% YoYอยู่ที่ 101.59 ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ยพื้นฐาน 11 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 0.55% YoY (บางกอกโพสต์/กรุงเทพธุรกิจ) ความเห็น: อัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำสามารถบ่งบอกว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังน่าจะคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป
  • KBANK (ราคาปิด 223 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าของ AWS 248 บาท) ได้รับอนุมัติจากทางการจีนให้ตั้งธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่น (locally incorporated institution license) ส่งให้ KBANK สามารถขยายสาขาได้เร็วขึ้น อัพเกรดสำนักงานตัวแทนเป็นสาขา และเสนอบริการให้แก่ทั้งลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่และรายย่อย (บางกอกโพสต์) ความเห็น: ปัจจัยดังกล่าวเป็นไปตามกลยุทธ์ AEC+3 (Aseanบวกจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ของ KBANK เนื่องจากธนาคารเล็งเห็นว่าภูมิภาคเหล่านี้มีโอกาสในการเติบโตอีกมาก เราประมาณการการเติบโตสินเชื่อปี 61 ที่ 7% และคาดการณ์กำไรสุทธิปีหน้าที่ 33 หมื่นล้านบาท (+17% YoY)
  • ธนาคารออมสินตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อให้ SMEs เพิ่มขึ้น 3 เท่า: ธนาคารออมสินกำลังวางแผนในการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางถึง 8,000 ล้านบาทในปีหน้าโดยสูงเกือบสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งจะทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดีขึ้นกว่าเดิม
  • TU (ราคาปิด 18.30 บาท,“ซื้อ”, ราคาเป้าหมาย 23.00 บาท) รายงานราคาปลาทูน่าในเดือน พ.ย.60 นี้ ปรับตัวลงเหลือ 2,000 เหรียญฯ ต่อตัน เทียบกับเดือนก่อนที่ 2,300 เหรียญฯ ต่อตัน ทำให้ต้นทุนปลาทูน่าเฉลี่ย 11 เดือนแรกของปีเท่ากับ 1,865 เหรียญฯ ต่อตัน โดยต้นทุนปลาทูน่าที่เริ่มลดลงน่าจะส่งผลบวกเต็มที่ในไตรมาส 1/61 ด้านกลยุทธ์ของบริษัทจะเน้นการออกสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Ready to Eat (RTE) และกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่มียังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้บริษัทยังได้รับปัจจัยบวกจากกฎหมายปฏิรูปภาษีของ Trump เนื่องจากมีฐานการผลิตอยู่ในสหรัฐฯ ด้วย

 

ตลาดต่างประเทศ:

  • หุ้นสหรัฐร่วงลงในวันศุกร์ (DJ -17%, S&P -0.20%, NASDAQ -0.38%) หลังจากรายงานว่า Michael Flynn อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ให้การว่าได้ติดต่อกับรัสเซียระหว่างการรณรงค์หาเสียงของประธานาธิบดี Trump ในปี 2559 ยุโรปปิดลบตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับ Sentiment เชิงลบจากข่าวดังกล่าว ในระหว่างการซื้อขายดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงไปที่ระดับต่ำสุด โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับลงถึง 350.45 จุดก่อนปิดลดลง 40.76 จุดที่ 24,231.59 จุด อย่างไรก็ตามดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากระดับต่ำเนื่องจากวุฒิสภาแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในการทำข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการภาษี ท้ายที่สุดวุฒิสภาได้ผ่านแผนปฏิรูปภาษีของ Trump ในเช้าวันที่ 2 ธันวาคมหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย โดยมีสมาชิกวุฒิสภาของพรรครีพับริกันจำนวนห้าสิบเอ็ดคนลงคะแนนเสียงให้กับกฎหมายดังกล่าว เราคาดว่าแผนปฏิรูปภาษีจะช่วยเพิ่มผลกำไรของบริษัทและเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามยังคงปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐที่มีกำหนดเส้นตายวันที่ 9 ธ.ค. นี้อาจส่งผลให้ตลาดผันผวนได้ในระยะนี้

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นจากรายงานข่าวของ ABC เกี่ยวกับ Michael Flynn ทำให้นักลงทุนหนีไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย โดยทองคำปิดที่ 1,60 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.39% ด้านน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 1.7% แตะที่ 58.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหลังจากร่วงลงในช่วงสัปดาห์ หลังจากโอเปกเพิ่มระยะเวลาในการจำกีดปริมาณการผลิต ดัชนีค่าระวางเรือ Baltic Dry Index ยังคงเพิ่มขึ้น 3.04% ปิดที่ 1,626 จุดบวกกับ TTA และ PSL