ข้อมูลบนโซเชียลโต 44% คาดสิ้นปีส่งข้อความทะลุ3.6พันล.

ข้อมูลบนโซเชียลโต 44% คาดสิ้นปีส่งข้อความทะลุ3.6พันล.

11 เดือน ที่ผ่านมาปริมาณข้อมูลบนโลกโซเชียลในประเทศไทยเติบโตเพิ่มขึ้นมากถึง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559

หลายปีที่ผ่านมาการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คของคนไทยพุ่งสูงขึ้นมาโดยตลอด ตั้งแต่เพื่อการสื่อสาร ไปจนถึงการตลาด สร้างแบรนด์ ทำธุรกิจ รวมถึงซื้อขายสินค้าบนโลกออนไลน์

ข้อมูลล่าสุดโดย บริษัท โธธ โซเชียล จำกัด เผยว่า 11 เดือน ที่ผ่านมาปริมาณข้อมูลบนโลกโซเชียลในประเทศไทยเติบโตเพิ่มขึ้นมากถึง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 คาดว่าตลอดทั้งปี 2560 จะมีจำนวนการโพสต์ข้อความไม่น้อยกว่า 3,600 ล้านข้อความ จากปีก่อนหน้า 2,500 ล้านข้อความ

“กล้า ตั้งสุวรรณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โธธ โซเชียล วิเคราะห์ว่า โซเชียลมีเดียกลายเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน ในฐานะหนึ่งในช่องทางการสื่อสารระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงกันได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 

อย่างไรก็ดี พบว่ามีการใช้งานทวิตเตอร์ได้รับความนิยมมากขึ้น ส่วนเฟซบุ๊คเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เทรนด์ที่น่าสนใจคือการใช้งานโซเชียลของแบรนด์ นอกเหนือจากเพื่อการตลาดและการจัดทำแคมเปญ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการบริการลูกค้า คอมเมิร์ซ รวมถึงเข้าไปดิสรัปวงการสื่อเช่นการไลฟ์

“เหตุที่ทวิตเตอร์ได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากใช้งานง่าย แชร์ได้ง่าย ระดับการเซ็นเซอร์มีน้อยกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ ฝั่งธุรกิจเองจากเดิมมองว่าทวิตเตอร์ไม่ใช่แพลตฟอร์มที่น่าสนใจเลย ขณะนี้หันมาโฟกัสมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นวัยรุ่น”

จับตาอิทธิพล “แชท” 

เขากล่าวว่า เทรนด์ที่น่าสนใจต่อไปผู้บริโภคต้องการการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การใช้บริการบนดิจิทัลแบบเรียลไทม์ นอกจากนั้นสนใจเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับตนเอง คอนเทนท์ที่มีความเฉพาะบุคคลมากขึ้น อีกทางหนึ่งรูปแบบการใช้โทรศัพท์มือถือจะเปลี่ยนไปโดยเป็นมาตรฐานใหม่ซึ่งจุดเริ่มต้นของทุกอย่างเริ่มด้วยคิวอาร์โค้ด

ด้วยการเติบโตที่ก้าวกระโดดรวมถึงความต้องการของลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ข้อมูลที่ได้จากโลกโซเชียลกลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ ที่ตามมาคือการเติบโตของเทคโนโลยีและเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการนำแชทบอทมาใช้

อย่างไรก็ดี ด้วยเฟซบุ๊คไม่ใช่ช่องทางที่ฟรีอีกต่อไป ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำต้องปรับตัว หันไปหาแพลตฟอร์มอื่นๆ ทุกวันนี้การปั๊มไลค์โดยไม่ใช่การเติบโตอย่างแท้จริงด้วยตนเองจะไม่ได้ผลอีกต่อไป เทรนด์บนโลกโซเชียลนั้นเปลี่ยนเร็ว หากแบรนด์ไม่คอยตามติดการเปลี่ยนแปลงก็มีโอกาสตกกระแสได้

นอกจากนี้ที่สอดคล้องกันไป หลังจากการรับสื่อด้วยโซเชียล ที่ตามมาคือการแชท คาดว่าต่อไปแชทจะยิ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลมากกว่าเดิม จากขณะนี้นิยมใช้คุยกับเพื่อน ครอบครัว ต่อไปมีโอกาสคุยกับแบรนด์ หรือต่อยอดไปสู่การบริโภคสินค้าและบริการบนออนไลน์ได้

แค่กดไลค์ไม่พอ

ด้าน “พเนิน อัศววิภาส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วันบิต แมทเทอร์ จำกัด (โอบีว็อค) ผู้ร่วมทุนของ โธธ โซเชียล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน โซเชียลแพลตฟอร์มที่สามารถสร้างอิทธิพลต่อความคิดผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างมากยังคงเป็นเฟซบุ๊ค ยูทูป ไลน์ และเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

อย่างไรก็ดี ต่อไปรูปแบบการตลาดต้องมีความน่าสนใจ หรือ กิมมิคใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา การประมวลผลที่ประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การกดไลค์ แต่เป็นการแชร์โพสต์ รวมถึงการเข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อโพสต์นั้นๆ โดยเฉพาะกับโพสต์ที่ไม่มีตัวกระตุ้น หรือรางวัลเป็นแรงจูงใจ หลักๆ วิธีการทำตลาดให้เกิดประสิทธิผลต้องทำคอนเทนท์ให้ดี พร้อมเลือกกลุ่มเป้าหมายให้ตรง

ปัจจุบัน ภาพรวมอีคอมเมิร์ซไทยนิยมซื้อขายกันผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ 1.เว็บไซต์ของแบรนด์สินค้าบริการ 2.อี-มาร์เก็ตเพลส และ 3.โซเชียล เน็ตเวิร์ค โดยโซเชียลเติบโตได้แบบก้าวกระโดดอย่างมาก กลุ่มพ่อค้า แม่ค้า คนรุ่นใหม่หันมาใช้ช่องทางนี้กันคึกคักในหลากหลายรูปแบบ เช่น เปิดแฟนเพจขายสินค้าเฉพาะกลุ่ม

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้โซเชียล คอมเมิร์ซเติบโตสูงมาก เนื่องจากความนิยมใช้โซเชียล เน็ตเวิร์คของคนไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากอดีตเมื่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ต สิ่งแรกที่คนไทยใช้ คือ อีเมล แต่ปัจจุบันสิ่งแรก คือ การใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ค 

ข้อมูลระบุด้วยว่า แรงจูงใจสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อ คือ การเห็นโฆษณาออนไลน์แล้วคลิก จากที่สินค้า และแบรนด์ต่างๆ หันมาใช้เม็ดเงินโฆษณาออนไลน์กันมากขึ้น ขณะที่รายย่อย หรือเอสเอ็มอีมองว่า โซเชียล เน็ตเวิร์คสามารถดึงดูดให้คนเข้าไปซื้อสินค้าของพวกเขาได้มากขึ้น