Daily Strategy (28 พ.ย.60)

Daily Strategy (28 พ.ย.60)

แกว่งตัว Sideways ในกรอบแคบ

กลยุทธ์การลงทุน: ตลาดหุ้นโลกยังถูก Drive จากกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก จากยอดขายที่ดีในช่วง Black Friday ที่ผ่านมา เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยในโค้งสุดท้ายก็ยังมีความน่าสนใจสำหรับหุ้นกลุ่มค้าปลีก-โรงพยาบาล-นิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเดินเรือที่ได้รับอานิสสงค์จากดัชนีค่าระวางเรือที่ปรับตัวดีขึ้น แนวโน้มธุรกิจดี และซัพพลายเรือลดลง กรอบดัชนีในวันนี้ มองแนวรับ 1,690 จุด แต่ยังมีแนวรับที่แข็งแกร่ง 1,683 จุด คาดว่าน่าจะมองเป็นจุดกลับตัวที่สำคัญของดัชนี ส่วนแนวต้านเรามอง 1,700 จุดก่อน ส่วนในปีนี้ เรายังคาดการณ์ระดับดัชนีสูงสุดอยู่ที่1,753 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ BDMS, TTA, AMATA

หุ้นเด่นวันนี้: BDMS(ราคาปิด 21.40 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าของ AWS 24.00 บาท)

  • เราชื่นชอบ BDMS จากการที่บริษัทมีเครือข่ายโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม เราคาดรายได้จากกิจการโรงพยาบาลของบริษัทจะเร่งตัวเติบโต11.8% ในปี 61 จาก6.3% ในปี 60 หนุนโดยการเปิดให้บริการของ BDMS Wellness Clinic การปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลตามความยากของโรค (price intensity) หนุนโดยการอัพเกรดโรงพยาบาลแม่ข่ายทั้ง 9 แห่งให้เป็น Center of Excellence ซึ่งกระบวนการดังกล่าวคาดสิ้นสุดในปีหน้า รวมถึงการเปิดโรงพยาบาลใหม่ๆ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย เราคาดกำไรปกติของ BDMS ในปี 61 จะขยายตัว 12.1% ฟื้นตัวจาก -2.8% ในปีนี้
  • Price Pattern ของ BDMS ยังมีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ BDMS ที่เกิดการเร่งรีบ Rebound ที่ผ่านมา ทำให้มีการเปิด Rising Gap อยู่ที่ 10 บาท ดังนั้นการอ่อนตัวลงของ BDMS หากเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Rising Gap ที่ 21.10 บาทได้รับการปิด ถือเป็นโอกาสในการเก็บหุ้น BDMS อีกครั้ง โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 22.10 บาท ทั้งนี้ BDMS มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 20.80 บาท (Resistance: 21.60, 21.80, 22.00; Support: 21.20, 21.00, 20.80)

ปัจจัยในประเทศ:

  • กระทรวงพลังงานเร่งออกแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า หรือ PDP ฉบับใหม่ ลุ้นคาดความต้องการใช้ไฟฟ้าจ่อลดลงหลังนำปัจจัยผลิตไฟฟ้าใช้เองมาประกอบการพิจารณา มั่นใจกลางปี 61ประกาศใช้ (ที่มา: ไทยโพสต์) ความเห็น: กระทรวงพลังงานมีโอกาสปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคตลง หลังปริมาณการใช้ไฟฟ้าของไทยปีนี้ต่ำกว่าที่คาดไว้ประมาณ 2,000 MW คาดส่งผลลบต่อ Sentiment ในการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่ส่งผลต่อโอกาสในการเติบโตของบริษัทไม่มาก เนื่องจากบริษัทต่างๆ มีแผนการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในต่างประเทศที่ศักยภาพเติบโตสูงกว่าอยู่แล้ว ประกอบการการคำนวณมูลค่าเหมาะสมใช้เฉพาะกำลังการผลิตที่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปัจจุบันแล้วเท่านั้น ยังมิได้รวมโครงการในอนาคตที่ยังมีความไม่แน่นอน
  • AOT(ปิด 58.50 บาท; ถือ; AWS เป้าหมาย 59 บาท): กระทรวงคมนาคม กำหนดความชัดเจนในเรื่องบทบาท AOT ในการเข้ามาร่วมบริหารสนามบินของกรมท่าอากาศยาน โดยการศึกษาพบว่า ทอท.ควรบริหารสนามบิน 2 แห่ง คือ สนามบินตาก(ตะวันตก) และสนามบินอุดรธานี(ตะวันออกเฉียงเหนือ) เนื่องจากสนามบินตากห่างจากสุวรรณภูมิดอนเมือง กับเชียงใหม่ กึ่งกลางพอดี ช่วยลดแออัดของสนามบินหลักได้ โดย AOT ต้องลงทุนต่อขยายรันเวย์และอาคารผู้โดยสารประมาณ 5,000 ล้านบาท ส่วนที่อุดรธานี ลงทุนขยายอาคารผู้โดยสารประมาณ 3,000 ล้านบาทและมีแผนการให้เอกชนร่วมลงทุนพัฒนาสนามบิน 4 แห่ง ได้แก่ ลำปาง,เพชรบูรณ์,นครราชสีมา และชุมพร ซึ่งหากได้รับอนุมัติจะเริ่มศึกษาการร่วมลงทุน PPP ประมาณ 8 เดือน จากนั้นจะประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนได้ในปี 2561 ความเห็น: การที่ AOT จะได้บริหารสนามบินเพิ่มขึ้นนั้น คาดว่าจะต้องใส่งบลงทุนเพิ่มไปอย่างน้อยราว 8,000 ล้านบาท ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะทำให้มีกำไรดีกลับมา เราเห็นว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นลบเล็กน้อยในระยะสั้น แต่ระยะยาว การบริหารสนามบินเพิ่มจะเป็นทางเพิ่มรายได้ในอนาคตให้ AOTราคาปัจจุบันของ AOT มี Upside ไม่มากเทียบกับราคาเป้าหมาย กำไรเพิ่มขึ้นไม่ทันกับราคาหุ้นที่ขึ้นไปเร็วในช่วงไตรมาส 3/60 เราแนะนำซื้อราคาอ่อนตัว
  • AMATA(ปิด 25.00 บาท; ซื้อ; AWS เป้าหมาย 28.50 บาท) ปรับเป้าขายที่ดินปี 25600 เป็นไม่ต่ำกว่า 800 ไร่ จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 1,000 ไร่ เนื่องจากลูกค้ายังรอความชัดเจนจากกฎหมายสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุนโครงการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จากทางรัฐบาล ซึ่งจากยอดขาย 9 เดือน สามารถทำได้ 331 ไร่ คาดว่าในไตรมาส 4/60 จะสามารถทำยอดขายอีกประมาณ 500 ไร่หลังจากได้มีการเจรจากับลูกค้าไว้หลายราย ในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ราว 1 พันล้านบาท เพื่อลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มเติมในพื้นที่อมตะนคร ปัจจุบันมี Land Bank 13,536 ไร่เป็นที่ดินในAmataNakornชลบุรี ซึ่งมีราคาต่อไร่สูง จำนวน 9,586 ไร่ และ Amata City ระยอง จำนวน 3,950 ไร่ส่วนเรื่องเป้ารายได้และกำไรอยู่ระหว่างการจัดทำแผน ความเห็น: เรามองว่าแนวโน้มการขายที่ดินของ AMATA จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังจากพรบ.EEC ประกาศใช้ ประมาณต้นปี 2561ความเห็น: เรายังมองหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมทั้ง AMATA และ WHA ได้รับประโยชน์สูงจาก EEC ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป
  • BBL (ราคาปิด 198.50 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าของ AWS 214.00 บาท) ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าบัตรเครดิต โดยวางแผนเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ขั้นต่ำอย่างน้อย 15,000 บาทต่อเดือนมากขึ้น ธนาคารตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตโดยรวมปี 61 จะเติบโต 10% YoY (บางกอกโพสต์) ความเห็น: แม้ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวอาจต้องแลกมาด้วยระดับ NPL ที่เพิ่มขึ้นของสินเชื่อกลุ่มบัตรเครดิต แต่เรามองว่าฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้นจะช่วยหนุนความสามารถในการแข่งขันของ BBL ในระยะยาว นอกจากนี้ เราคาดว่า NPL โดยรวมของธนาคารน่าจะยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเราประมาณการ NPL ratio โดยรวมของปี 61 จะลดลงมาอยู่ที่ 3.2% จากคาดการณ์ปี 60 ที่ 3.9% เป็นไปตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
  • RS ตั้งเป้าทำลายสถิติรายได้ในปี 2561 : RS ตั้งเป้ารายได้ในปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ล้านบาท โดยซีอีโอบริษัท RS กล่าวว่าธุรกิจด้านสุขภาพและความงามผ่านทางบริษัท Lifestarทำได้ดีกว่าธุรกิจสื่อขณะที่การดำเนินงานโทรทัศน์ระบบดิจิตอลในช่อง8 จะเน้นเฉพาะช่วงเวลาที่มีผู้ชมมากที่สุดในการนำเสนอเนื้อหาระดับพรีเมี่ยมทั้งจากไทยและต่างประเทศให้แก่ผู้ชม (Bangkok Post)
  • SIRI: ได้เงินเพิ่มเข้ามาทั้งหมด 1,343 ล้านบาท จากการแปลง SIRI-W2 ที่ราคา 5 บาทต่อหุ้น อัตราส่วน 1:1 โดยมีdilution effect ต่ำเพียง 3.75%
  • TACC(ปิด15 บาท; NR; IAA Consensus 7.30 บาท):เตรียมส่งสินค้าเครื่องดื่มช็อกโกแลตนม จาก Hershey's Freeze จำหน่ายในโถกดเครื่องดื่มเย็นในร้าน 7-11 กว่า 10,000 สาขา ทั่วประเทศ ในเดือน พ.ย.60 นี้ และในปี 2561 จะได้เห็นสินค้าใหม่จาก TACC ตั้งแต่การจับมือของ TACC และ บริษัท Sunny Sky Products และ แบรนด์ Hershey's เพื่อเพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคในร้าน 7-11ความเห็น:TACC มีการแตกไลน์เพิ่มสินค้าใหม่ต่อเนื่องโดยมีจุดจำหน่ายสำคัญในร้าน 7-11 ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีกับ CPALL คาดว่า TACC สามารถต่อยอดการขายให้เติบโตดีในประเทศ และบริษัทการผลิตสินค้าจำหน่ายในต่างประเทศด้วย คาดว่าจะเห็นโอกาสการเติบโตที่ดีในปี 2561

ตลาดต่างประเทศ:

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ:กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้นสวนทางคาดการณ์ในเดือนต.ค. โดยดีดตัวขึ้น 2%MoM สู่ระดับ 685,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.50 หลังจากแตะระดับ 645,000 ยูนิตในเดือนก.ย.เป็นยอดขายปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน
  • ตลาดหุ้นยุโรป:ปิดร่วงจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกร่วงลง ก่อนที่การประชุมกลุ่มโอเปกวันพฤหัสบดีนี้ นอกจากนี้ การร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดในแดนลบ

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมันดิบ: ปรับตัวลงหลังจากมีข้อมูลระบุว่า สหรัฐทำการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอกกลุ่มโอเปกที่กรุงเวียนนาในวันที่ 30 พ.ย.
  • ราคาทองคำ:ปิดบวกจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาทองคำปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาวุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดลงมติร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในวันพฤหัสบดีนี้