ระดมกำลังกวาดล้างคอลเซ็นเตอร์

ระดมกำลังกวาดล้างคอลเซ็นเตอร์

ระดมกำลังกวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ทั้งใน และต่างประเทศ สตช.เผยออกหมายจับผู้ต้องหา 107 ราย จับได้แล้วกว่า 90 ราย กำชับทุกสน.หลังรับแจ้งความต้องประสานปปง.ทันที

เมื่อวันที่ 24 พ.ย.60 ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ประธานคณะกรรมการ ปปง. พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีรียาสรร รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง., พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ รักษาราชการแทน ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทน รอง ผบช.ทท.พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.ธวัชชัย ศรีวรกุล ผอ.ส่วนคดีเทคโนโลยีฯ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 ร่วมประชุมเพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานตามกฎหมายฟอกเงิน สร้างความเข้าใจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการกับกลุ่มผู้กระทำความผิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวว่า ปปง. ได้เชิญหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายหารือกำหนดมาตรการการปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้การสอบสวนดำเนินคดีอาญาของพนักงานสอบสวนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ ซึ่งจะทำให้การยึดอายัดทรัพย์สินของ ปปง. รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ อีกทั้งเพื่อให้พนักงานสอบสวนสามารถสอบสวนผู้เสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับความเสียหายที่ได้รับทันที โดยไม่ต้องเดินทางมายังสำนักงาน ปปง. เพื่อยื่นคำร้องอีกครั้ง ส่งผลให้การเยียวยา และการคุ้มครองสิทธิให้กับผู้เสียหายเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ซึ่งที่ประชุมได้มีการหารือร่วมกันเพื่อขยายผลจับกุมตัวการสำคัญทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งตรวจสอบเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมาเยียวยาคุ้มครองสิทธิประชาชนผู้เสียหายต่อไป

พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ กล่าวว่า สัปดาห์ก่อน ปปง.ได้หารือสถาบันการเงินทั้ง 36 แห่ง และผู้ให้บริการโทรศัพท์ทั้ง 5 เครือข่าย ในการใช้จุดแข็งของแต่ละส่วนมาบูรณาการร่วมกัน ในการตัดวงจรการกระทำความผิด ไม่ให้แก็งคอลเซ็นเตอร์ใช้บัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินและโทรศัพท์เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด โดยมีมาตรการในการป้องกันที่สำคัญ ประกอบด้วย การตรวจสอบบัญชีต้องสงสัยที่อาจถูกนำไปใช้ในการกระทำผิด, การสืบสวนสอบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้รับจ้างเปิดบัญชี และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงาน ปปง. (ศปก.ปปง.) ในการประสานงานและการรับแจ้งเหตุจากประชาชนผู้เสียหาย ผ่านสายด่วน 1710 ขณะนี้ตรวจสอบพบว่ามีความเสียหายจากคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปี 60 เบื้องต้นประมาณ 60 ล้านบาท หลังศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินจะเฉลี่ยทรัพย์คืนให้กับผู้เสียหาย นอกจากนี้ยังเตรียมขยายผลหาเครือข่ายผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ด้านพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การบูรณาการทำงานของทุกหน่วยงานจะเน้นทั้งการป้องกันและปราบปราม โดยมาตรการป้องกันเพื่อนำเงินผู้เสียหายมาคืนโดยเร็ว ส่วนการปราบปรามเพื่อจับกุมคนร้ายมาลงโทษ ซึ่งทางตำรวจออกหมายจับคนร้ายแล้ว 107 หมาย สามารถจับกุมได้กว่า 90 ราย และขณะนี้ยังคงกวาดล้างติดตามจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ เปิดเผยว่า สตช.มีหน้าที่ช่วยสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงขบวนการดังกล่าว และติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี ส่วน ปปง. ติดตามยึดอายัดทรัพย์ตามกฎหมาย ทั้งนี้ หากประชาชนถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาหลอกลวงให้รีบแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทั่วประเทศ อาทิ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) หรือ กองบัญชาการตำรวจภูธร 1-9 (บช.ภ.1-9) พร้อมกำชับพนักงานสอบสวนทั่วประเทศให้รีบรายงานกลับมายัง ปปง. หรือ ตร. ทันที