เปิด 8 ประเด็น ศาลฎีกาไม่เชื่อ 'ครูจอมทรัพย์' แพะ 

เปิด 8 ประเด็น ศาลฎีกาไม่เชื่อ 'ครูจอมทรัพย์' แพะ 

(รายงาน) เปิด 8 ประเด็น ศาลฎีกาไม่เชื่อ“ครูจอมทรัพย์ ” แพะ 

ศาลฎีกายกคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร  อดีตครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สกลนคร ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้การรื้อฟื้นคดีต้องปิดฉากลงทันที ข้อหาขับรถชนคนตายโดยประมาทที่เธอเคยต้องโทษจำคุก ไม่สามารถลบออกไปได้ตามที่วาดหวัง

     “ คมชัดลึก”  ตรวจสอบคำพิพากษาฉบับเต็มในคดีขอรื้อฟื้นฯ พบว่ามี 8 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ศาลฎีกายกคำร้อง ดังนี้

1. ไม่นำนายสับ วาปี  มาเบิกความเป็นพยานในชั้นพิจารณาคดีในคดีที่ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือ “ครูจอมทรัพย์” ร้องขอรื้อฟื้นคดี ทั้งที่ในคำร้อง “ครูจอมทรัพย์” อ้างว่า เพิ่งทราบในภายหลังว่า ผู้กระทำที่แท้จริงคือนายสับ ซึ่งเป็นคนขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ไปเฉี่ยวชนนายเหลือ พ่อบำรุง ถึงแก่ความตาย

อีกทั้งในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของศาล ว่าคำร้องพอมีมูลที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือไม่ นางจอมทรัพย์ ก็นำนายสับ มาให้ศาลชั้นต้นไต่สวน ่ทำให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้รับคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของนางจอมทรัพย์ไว้พิจารณาและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีที่ขอรื้อฟื้น แต่พอถึงชั้นพิจารณาคดีในคดีขอรื้อฟื้นฯ นางจอมทรัพย์ กลับไม่นำนายสับ มาเบิกความ ศาลฎีกาเห็นว่า ส่อแสดงว่าผู้ร้องอาจต้องการหลีกเลี่ยง ไม่ให้นายสับ ถูกตรวจสอบโดยการถามค้านของผู้คัดค้าน

2. ในชั้นพิจารณาคดีในคดีขอรื้อฟื้นฯ นางจอมทรัพย์ อ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่ จากผลการตรวจสอบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร  โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่าไม่ปรากฏร่องรอยการเฉี่ยวชน รวมทั้งสีของรถกระบะเป็นสีเดิมที่มาจากโรงงานผู้ผลิต  

 แต่ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงเหล่านี้่ศาลเคยวินิจฉัยไว้แล้วในคดีเดิมที่พิพากษาจำคุกนางจอมทรัพย์  ในข้อหาขับรถโดยประมาทชนนายเหลือ ถึงแก่ความตาย  จึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ศาลฎีกาจึงไม่รับพยานหลักฐานดังกล่าวไว้พิจารณาในคดีขอรื้อฟื้น

3. การนำนางจอมทรัพย์ ,นายประพัฒน์ แสนเมืองโคตร  และนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์  เข้าเบิกความเป็นพยานในคดีขอรื้อฟื้นคดีนั้น คนทั้งสามเคยเป็นพยานเข้าเบิกความในคดีเดิมที่ศาลมีคำพิพากษาว่านางจอมทรัพย์ กระทำผิดขับรถประมาทชนคนตาย คำเบิกความของพยานทั้ง 3 คนดังกล่าวในคดีีขอรื้อฟื้นคดี จึงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยมาแล้วในคดีเดิม จึงไม่ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่จะนำมารื้อฟื้นคดีได้ 

4. นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์  พยานสำคัญที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งนางทัศนีย์ ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความในคดีเดิม ยืนยันว่า เห็นและจำหมายเลขทะเบียนรถกระบะที่ขับเฉี่ยวชนรถจักรยานของผู้ตายว่า มีหมายเลขทะเบียน บค.56 สกลนคร ซึ่งเป็นหมายเลขทะเบียนรถกระบะที่นางจอมทรัพย์ ครอบครองอยู่ในขณะเกิดเหตุ นำมาสู่การแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีกับนางจอมทรัพย์

และนางทัศนีย์  ยังเป็นพยานโจทก์เบิกความในคดีเดิมว่า หลังเกิดเหตุเฉี่ยวชนแล้ว รถกระบะหยุดรถและคนขับเป็นชายเปิดประตูรถเดินลงไปดูผู้ตาย นางทัศนีย์ เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วก็รีบขับรถจักรยานยนต์ออกไปโดยไม่ได้สังเกตว่ารถกระบะจะขับออกไปเมื่อใด ศาลฎีกาเห็นว่าแสดงว่านางทัศนีย์ ขับรถออกไปก่อนที่รถกระบะคันเกิดเหตุจะขับหลบหนีไป

แต่เมื่อนางจอมทรัพย์ได้นำนางทัศนีย์  มาสืบเป็นพยานของนางจอมทรัพย์ในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดี นางทัศนีย์ กลับเบิิกความว่า หลังเฉี่ยวชนกันแล้ว  รถกระบะคันดังกล่าวได้หยุดรถ ชายคนขับรถคันเกิดเหตุลงมานั่งยองๆดูผู้ตายสักพักแล้วกลับขึ้นรถขับออกไป ศาลฎีกาเห็นว่าแสดงว่านางทัศนีย์ จอดรถจักรยานยนต์ดูจนคนร้ายขับรถกระบะขับหลบหนีไป นางทัศนีย์จึงขับรถออกจากที่เกิดเหตุไป  

ศาลฎีกา จึงเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่า นางทัศนีย์ ขับรถออกไปจากที่เกิดเหตุก่อนที่คนขับรถกระบะจะขับหลบหนีหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญ ที่ผู้ประสบเหตุการณ์จริง ควรจะจำได้โดยไม่ผิดพลาด การที่นางทัศนีย์ เบิกความถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวแตกต่างกันย่อมเป็นพิรุธ

นอกจากนี้นางทัศนีย์ ยังได้เบิกความในชั้นพิจารณาคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของนางจอมทรัพย์  โดยไม่ยืนยันถึงหมายเลขทะเบียนรถกระบะคันเกิดเหตุ (ทั้งที่ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาคดีเดิม นางทัศนีย์ ให้การและเบิกความยืนยันว่า ไฟรถจักรยานยนต์ของนางทัศนีย์ ส่องไปยังป้ายทะเบียนรถยนต์คันเกิดเหตุ มีหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ) โดยนางทัศนีย์ อ้างว่า ความจริง รถจักรยานยนต์ของนางทัศนีย์มีสภาพเก่า ไฟส่องไม่สว่างเท่าใดนัก มองเห็นหมายเลขทะเบียนรถไม่ชัดเจนในหมวดอักษรและจังหวัด แต่แน่ใจว่าหมายเลข 56  แน่นอน ซึ่งเป็นการกลับคำให้การและคำเบิกความในคดีเดิม ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์แก่รูปคดีของนางจอมทรัพย์ ผู้ร้อง  ศาลฎีกาจึงเห็นว่า คำเบิิกความของนางทัศนีย์ในชั้นพิจารณาคำร้องขอรื้อฟื้นคดี จึงไม่น่าเชื่อถือ  

5. พยานผู้ร้อง  คือ นางทองเรศ วงศ์ศรีชา, นางสุเทพ วงศ์ศรีชา และนางบุญเลิศ วงศ์ศรีชา ไม่น่าเชื่ิอถือ  

นางทองเรศ อ้างว่า ตนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนางทัศนีย์ แต่ในคดีเดิมนางทัศนีย์ ไม่ได้เบิกความว่า นางทองเรศนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วย 

นอกจากนี้ นางทองเรศ  ยังเบิกความเกี่ยวกับจุดที่นายเหลือ ผู้ตาย ถูกรถกระบะชนและกระเด็นไปว่า ผู้ตายนอนอยู่บนถนนด้านหลังรถกระบะ แต่นางทองเรศกลับไปให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ว่า ผู้ตายนอนอยู่ที่ด้านหน้ารถกระบะคันเกิดเหตุ 

ศาลฎีกา เห็นว่า เหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกรถกระบะชนแล้วกระเด็นไปอยู่บริเวณใดของรถกระบะ นับเป็นข้อสาระสำคัญ หากนางทองเรศอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจริง น่าจะจดจำได้เป็นอย่างดี  การที่นางทองเรศ เบิกความและให้สัมภาษณ์แก่ส่ื่อมวลชนกลับไปกลับมา ยิ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยว่านางทองเรศ จะมีส่วนรับรู้เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุจริงหรือไม่

ส่วนนางสุเทพ เบิกความเป็นพยานในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดีอ้างว่า ตนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายถวิล พรหมคนซื่อ แต่ในชั้นสอบสวนนางทัศนีย์ ให้การว่า นางทัศนีย์กับพวกขับรถจักรยานยนต์มาคนละคันจำนวน 4 คัน ศาลฎีกา เห็นว่า กรณีจึงมีข้อพิรุธ ทำให้เกิดความสงสัยว่า นางทองเรศและนางสุเทพ นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปในวันเกิดเหตุด้วยจริงหรือไม่

ส่วนนางบุญเลิศ เบิกความในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดีว่า  เห็นผู้ตายถูกชนนอนอยู่บริเวณกึ่งกลางถนน อยู่ทางด้านหน้ารถกระบะ ซึ่งขัดแย้งกับที่นางทัศนีย์และนางทองเรศ เบิกความในชั้นไต่สวนและชั้นพิจารณาคำร้องขอรื้อฟื้นคดีว่า ผู้ตายนอนอยู่ทางด้านหลังรถกระบะ ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ทำให้เกิดความสงสัยว่า นางบุญเลิศ จะมีส่วนรับรู้เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุจริงหรือไม่

นอกจากนี้ศาลฎีกา ยังเห็นว่า ทั้งนางทองเรศ นางสุเทพ และนางบุญเลิศ หลังเกิดเหตุ ไม่เคยไปให้การต่อพนักงานสอบสวน และไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาก่อน บ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือของพยานทั้ง 3 คน ตั้งแต่แรก

6. คำเบิกความของนายสับ วาปี ในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดี ที่อ้างว่าในวันเกิดเหตุนายสับได้ขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บค56 มุกดาหาร ออกจากบ้านในตอนเช้าเพื่อตระเวณหาซื้อไม้ยูคาลิปตัส ก็ไม่ปรากฏรายละเอียดจะไปหาซื้ออย่างไร ที่ไหน จากใคร ไม่ปรากฏรายชื่อบุคคลหรือสถานที่ที่สามารถตรวจสอบได้ ศาลฎีกาเห็นว่าจึงดูเลื่อนลอย อีกทั้งเมื่อหาซื้อไม้ทั้งวันไม่ได้ก็น่าจะขับรถกลับบ้านก่อนค่ำ การที่นายสับ ยังคงขับรถตระเวนหาซื้อไม้จนมืดค่ำ จึงขับรถกลับและเกิดอุบัติเหตุเมื่อเวลา 2 ทุ่ม ที่ อ.เรณูนคร จังหวัดนครพนม  ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักของนายสับที่ อ.เมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร อีกไม่น้อยกว่า 60 กม. จึงดูไม่สมเหตุผล

ส่วนการที่นายสับนำเงิน 170,000 บาท ไปชดใช้ให้กับบุตรผู้ตายในคดีแพ่งที่บุตรผู้ตายเป็นโจทก์ฟ้องนางจอมทรัพย์ เป็นจำเลย เรียกค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า ก็ยังมีข้อน่าสงสัยว่า เงินที่นายสับนำไปชดใช้ให้กับบุตรผู้ตาย เป็นเงินของนายสับหรือไม่ จึงไม่ใช่หลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่านายสับเป็นผู้กระทำความผิดขับรถชนนายเหลือ ผู้ตาย

7. ทางอัยการผู้คัดค้าน มีนายลัน โทนแก้ว ซึ่งเป็นพี่ภรรยาของนายสับ มาเป็นพยานเบิกความว่า นายสับ ขายรถกระบะ ทะเบียน 56 มุกดาหาร ให้กับตน ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุในคดีที่มีรถชนนายเหลือ ผู้ตาย นายสับ จึงไม่ได้เป็นผู้ครอบครองรถกระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ในขณะเกิดเหตุ

8. ศาลฎีกาเห็นว่า จากการสืบพยานของฝ่ายผู้คัดค้านหลายปาก มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า มีขบวนการว่าจ้างให้นายสับ รับสมอ้างว่า เป็นคนขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 56 มุกดาหาร ไปเฉี่ยวชนรถจักรยานของนายเหลือ ผู้ตาย โดยเสนอค่าตอบแทนให้นายสับ 4 แสนบาท แต่นายสับ เปลี่ยนใจไม่กระทำตามที่ตกลง จึงมีการไปติดต่อนายเสริฐ รูปสอาด ให้มารับสมอ้างเป็นคนขับรถกระบะคันดังกล่าวแทนนายสับ โดยเสนอเงินให้นายเสริฐ 200,000บาท แต่อาจเป็นเพราะนายเสริฐ ขับรถยนต์ไม่เป็น หรือนายสับ เปลี่ยนใจกลับมารับสมอ้างอีกครั้ง จึงมีการดำเนินการให้นายสับมารับสมอ้างว่า เป็นคนขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน56  มุกดาหาร ไปเฉี่ยวชนรถจักรยานของนายเหลือ ผู้ตาย ในที่สุ