เอกซเรย์ 'หุ้นไทย' ก่อนหมดปี ผ่าน 'ธนรัตน์' นักเทคนิค BLS

เอกซเรย์ 'หุ้นไทย' ก่อนหมดปี ผ่าน 'ธนรัตน์' นักเทคนิค BLS

ส่องทิศทางตลาดหุ้นไทย 2 เดือนสุดท้ายของปี 60 ผ่านมุมมองนักเทคนิค 'ธนรัตน์ อิศรกุล' แห่งค่ายหลักทรัพย์บัวหลวง เชื่อดัชนียังอยู่ในรูป 'ตลาดกระทิง' ชี้มีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง พร้อมโชว์หุ้นสัญญาณบวก

ผ่านมา 11 เดือน ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนแล้วเฉลี่ย 9-10% โดยเริ่มออกตัวแรงตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา หนุนด้วยเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง หลังตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวบ่งชี้ว่า สถานการณ์ภายในประเทศกำลังฟื้นตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้ดัชนีทะยานขึ้นไปแตะ 'จุดสูงสุด' ระดับ 1,726 จุด เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2560 ปัจจุบันดัชนียืนระดับ 1,709.38 จุด (17พ.ย.2560)

ทว่าตลาดหุ้นไทยที่เปลี่ยนมาอยู่ในรูปของ 'ตลาดกระทิง' (Bull Market) ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ของตลาด เพราะตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา แทบไม่มีสตอรี่ใหม่กระตุ้นตลาดหุ้น ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดเพียง 2% ก่อนจะขยับมาเป็น 8.49% ในช่วงสิ้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหุ้นแถบเอเชียมีผลตอบแทนอยู่บนเลขสองหลัก 

ในมุมเทคนิคหุ้นไทยยังไปต่อหรือไม่? สิ้นเสียงคำถาม 'เอก-ธนรัตน์ อิศรกุล' ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ยืนยันผ่าน 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ว่า นับตั้งแต่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทะลุแนวต้านสำคัญ 1,600 จุด และมีมูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า จากวันละ 30,000-40,000 ล้านบาท เป็น วันละ 60,000-70,000 ล้านบาท โครงสร้างดัชนี ก็เปลี่ยนเป็นเทรนด์ 'ขาขึ้น' ทันที

จากเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้วิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นบ่งชี้ได้ว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2560 ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในรูป 'ขาขึ้น' ที่สำคัญอาจทำ 'จุดสูงสุดใหม่' ที่ระดับ 1,760 จุด หลังใช้เวลาสร้างฐานนาน  8 เดือน หากเป็นจริงเช่นนั้นในปี 2560 ตลาดหุ้นไทยอาจสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 13% 

'ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาฟื้นตัว ถือเป็นสตอรี่สำคัญในการผลักดันตลาดหุ้นไทย สะท้อนผ่านเงินลงทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย นับตั้งแต่ตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆตัวเริ่มฟื้นตัว' กูรูเทคนิค ยืนยันเช่นนั้น

อย่างไรก็ดีผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,729.80 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,673.01 จุด โดยหุ้นที่ชนะตลาด คือ KCE และ TKN ส่วนหุ้นที่แพ้ตลาด คือ CCET และ AAV เขา บอกว่า เมื่อมีสัญญาณเทคนิคบอกตลาดเป็นขาขึ้น ก็ย่อมต้องมีสัญญาณบอกจุดที่นักลงทุนต้องใช้ความ 'ระมัดระวัง' ในการลงทุน กล่าวคือ หากราคาหุ้นในตลาดไม่ขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกวิ่งต่อ รูปแบบลักษณะนี้ บ่งชี้ได้ว่า มีปัจจัยขัดแย้ง 

โดยนักลงทุนสามารรถสังเกตได้จาก Indicator หลักต่างๆ เช่น หากตลาดเป็นขาขึ้น Indicator ต้องชี้ไปในทิศทางเดียวกัน แต่หาก Indicator มีความขัดแย้ง หรือตรงกันข้าม นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวัง แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็นสัญญาณลักษณะนี้เกิดขึ้น  

เมื่อถามถึง 'ความเสี่ยง' กูรูเทคนิค ตอบว่า ปัจจัยที่อาจกระทบตลาดหุ้นไทย คือ 1.ความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและอเมริกา 2.มาตรการทางการเงินที่มีความเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  เช่น อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าที่ตลาดมองไว้ และการเลือกประธานเฟดคนใหม่ เป็นต้น 

ส่วนความเสี่ยงในประเทศคงต้องดูเรื่องหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของธนาคาร ว่าจะปรับตัวลดลงตามที่หลายฝ่ายมองไว้หรือไม่ รวมทั้งตัวเลขการฟื้นตัวของกลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคและบริโภค  

'ธนรัตน์' ไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ทิศทาง 'ค่าเงินบาท' ว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินบาทมีการแข็งค่ามาตลอด และช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงมีมุมมองว่า ค่าเงินบาทจะยังแข็งค่าต่อเนื่อง 

ส่วนแนวโน้ม  'ราคาน้ำมัน' ปัจจุบันพบว่า ราคาน้ำมันดิบโลกขึ้นไปทำนิวไฮในรอบ 2  ปี โดยราคาขึ้นมาเกือบ 60 เหรียญต่อบาร์เรล บ่งบอกว่า น้ำมันกำลังเป็นเทรนด์ขาขึ้น ฉะนั้นต้องจับตา 'หุ้นกลุ่มน้ำมัน' ที่อาจมีการปรับตัวขึ้นตามเทรนด์ราคาน้ำมันดิบ สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นมาจากการขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกออกไป 

สำหรับทิศทาง 'ราคาทองคำ' มองว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ราคาทองคำอาจปรับตัวลงมา หนุนด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.ธนาคารกลางสหรัฐ ขึ้นดอกเบี้ย 2.เงินดอลลาร์แข็งค่า และ 3.เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากกว่าสินทรัพย์ปลอดภัย ด้วยเหตุดังกล่าว ส่งผลให้ปีนี้ราคาทองคำอาจสร้างผลตอบแทนไม่ค่อยดีนัก 

แต่หากปี 2561 สถานการณ์ราคาทองคำยังเป็นเช่นนี้ ก็อาจเห็นทองคำวิ่งอยู่ในกรอบ 1,250-1,275 เหรียญต่อออนซ์ และคงยังไม่เห็นราคาทองคำอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น นอกจากจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงสำคัญ ๆ เข้ามา เช่น ความขัดแย้งของเกาหลีเหนือและอเมริการุนแรงมากขึ้น เป็นต้น   

เมื่อถามถึง 'หุ้นแนะนำประจำเดือนพ.ย.' เขายกตำแหน่งให้ 4 หุ้น ไล่มาตั้งแต่ หุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 236 บาท จุด Stop loss 214 บาท เนื่องจากหุ้นปรับตัวขึ้นได้โดดเด่นสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มหนุนด้วยค่า MACD บ่งชี้การเปลี่ยนเป็นทิศทางขาขึ้น

หุ้น LH เป้าหมาย 12.4 บาท จุด Stop loss 10.4 บาท หลังหุ้นทะลุเทรนด์สําคัญส่งผลให้วอลุ่มเพิ่มสูงขึ้นขณะที่ค่า RSI บ่งชี้ความแข็งแกร็งด้านราคานอกจากนั้นยังแนะนำซื้อ

หุ้น FN เป้าหมาย 8 บาท จุด Stop loss 5.9 บาท หลังภาพรายเดือนส่งสัญญาณบวกจากการทะลุเทรนด์จุดกลับตัวเป็นขาขึ้นรอบใหม่ Pivot point

สุดท้าย คือ หุ้น VGI เป้าหมาย 7.2 บาท จุด Stop loss 5.9 บาท เพราะราคาแกว่งตัวอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมใหญ่ขณะที่ราคาปิดสูงในกราฟรายเดือน พร้อมกับค่า MACD หนุนแนวโน้มปรับขึ้นสำหรับ parameter หลักได้แก่ 1. หุ้นที่สามารถรองรับกับกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้า หุ้นที่มีสภาพคล่อง

2.หุ้นที่อยู่ในกลุ่มผู้ตาม Follow trend อาจมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ตามหุ้นกลุ่มนําตลาด ซึ่งราคาปรับตัวขึ้นมาแล้ว3. หุ้นที่แสดงความแข็งแกร่งจากค่า RSI เพิ่มขึ้น, ราคาทะลุแนวต้านย่อย, สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น Pivot point, ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น-กลาง Golden cross4.MACD แสดงระดับต่ำสุดที่สูงขึ้นและตัดเส้น Signal line ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวก

5.กําหนดจุด Stop loss หากหุ้นไม่เป็นไปตามคาด 6. แนะจับตาหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ใน SET50 เนื่องจากเป็นกลุ่มที่รองรับกับกระแสเงินลงทุนได้ดีเน้นกลุ่มที่อิงไปกับการเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ 

กูรูเทคนิค ทิ้งท้ายบทสนทนา ด้วยการฝากเทคนิคการเลือกหุ้นว่า ก่อนจะเลือกซื้อหุ้นตัวไหน นักลงทุนต้องพิจารณาภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อน ซึ่งในรอบนี้ 'หุ้น Domestic plays' อาจโดดเด่น เพราะตัวเลขการฟื้นตัวเริ่มชัดเจน รวมถึงหุ้นที่เป็นผู้นำของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ   

'ค้าปลีก'&'ท่องเที่ยว' หุ้นเด่นน่าลงทุน 

'การบริโภคในประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเริ่มเข้าสู่โหมดฟื้นตัวในไตรมาส 3 ปี 2560'

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์บัวหลวง ยืนยันมุมมอง 'หุ้นกลุ่มค้าปลีก' สะท้อนผ่านการปรับแนะนำ จาก 'น้อยกว่าตลาด' เป็น 'มากกว่าตลาด' หลังการจับจ่ายใช้สอยจะเริ่มดีขึ้น หลังงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เสร็จสิ้นเมื่อปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา 

จากบทวิเคราะห์ของค่ายบัวหลวง ระบุชัดเจนว่า ชอบหุ้น BEAUTY หุ้น CPALL และหุ้น HMPRO มากที่สุด ในส่วนของ BEAUTY เป็นเพียงบริษัทเดียวในกลุ่มค้าปลีกที่ยังคงแนะนำลงทุน หลังมีสารพัดจุดเด่นคอยสนับสนุนฐานะการเงิน โดยเฉพาะเรื่องที่ยอดขายในประเทศที่ไม่ชะลอตัว แม้การบริโภคยังไม่ฟื้นตัว

ขณะที่ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศอย่างต่อเนื่องนอกจากนั้นในช่วงไตรมาส 4 มักจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดแห่งปี เนื่องจากอุปสงค์ต่อเครื่องสำอางค์ และผลิตภัณฑ์ต่างๆของ BEAUTY แข็งแกร่งในช่วงเทศกาลจับจ่ายใช้สอย อีกทั้งคาดผลประกอบการไตรมาส 4 ปี2560 จะเติบโตแรงอย่างมีนัยสำคัญ หนุนโดยฐานต่ำในปีที่แล้วล่าสุดได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2560-2561 ขึ้น 7% และ 13% ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2561 ของเราปรับขึ้นมาอยู่ที่ 21.6 บาท จากเดิม 19.6 บาท

อย่างไรก็ดี BEAUTY ยังคงเป็นหุ้นที่เราชื่นชอบมากที่สุดในกลุ่มค้าปลีก หลังจากการปรับประมาณการใหม่นี้ หุ้นถูกซื้อขายด้วย PER ปี 2561 ที่ 35.5 เท่า และ PEG ที่ 1 เท่า 

หุ้น CPALL อนาคตสดใส โดยยอดขายสาขาเดิมของ CPALL น่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นอีกในไตรมาส 4 ปี 2560 เนื่องจากมีฐานต่ำในปีที่แล้ว ประกอบกับได้ปัจจัยหนุนจากภาษีบุหรี่สูงขึ้น นอกจากนี้การสนับสนุนแคมเปญแสตมป์จากคู่ค้าน่าจะต่อเนื่องไปยังไตรมาส 4 ทั้งนี้แคมเปญแสตมป์มีขึ้นระหว่างวันที่ 24 ก.ค.–23 พ.ย. นี้ ดังนั้นเราคาดจะเห็นกำไรขยายตัวแรงต่อเนื่องในไตรมาส 4 ปี 2560  

หลักทรัพย์บัวหลวง ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2560 ขึ้น 2% เพื่อสะท้อนความสำเร็จของแคมเปญแสตมป์ที่ดีกว่าคาด อีกทั้งปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 2561 ขึ้น 3% เนื่องจากแนวโน้มยอดขายเติบโตดูแข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2561 ของเราขยับขึ้นเป็น 81.50 บาท จากเดิม 80 บาท

หุ้น HMPRO เติบโตด้วยอัตราเร่ง หลังบริษัทสามารถประเมินภาพเศรษฐกิจและปรับกลยุทธ์การดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่เพียงเพื่อให้อยู่รอด แต่เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และความยั่งยืนในระยะยาวด้วย 

ในระยะสั้นถึงระยะกลาง ปัจจัยหนุนกำไรมาจาก 1. อัตรากำไรขั้นต้นเติบโตจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมการขายทั้งจากสินค้าแบรนด์และสินค้าเฮาส์แบรนด์ และ 2. อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงจากการเพิ่มประสิทธิภาพ 

ส่วนการเติบโตในระยะยาวจะมาจาก 'โฮมเซอร์วิส' และการ 'ขยายสาขาต่างประเทศ' นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน HMPRO เปิดสาขาในประเทศมาเลเซียไปแล้ว 3 แห่ง คือ มะละกา ,อีโปะฮ์ และปีนัง การเปิดสาขาเพิ่มเติมจะทำให้เกิดการประหยัดของขนาด ซึ่งจะหนุนให้การดำเนินงานในประเทศมาเลเซียถึง 'จุดคุ้มทุน' ในช่วงกลางปี 2561 

ล่าสุดผู้บริหารวางแผนระยะยาวจะเปิด 40 สาขาในประเทศมาเลเซีย และก้าวถัดไปจะเปิดในประเทศกัมพูชาและเวียดนามหุ้น BJC ฟื้นตัวแรง คาดว่า ไตรมาส 4 ปี 2560 BJC น่าจะมีเรื่องตื่นเต้นอีก เพราะยอดขายสาขาเดิมของ BigC มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้กว่า 7% หนุนโดยฐานที่ต่ำมากในช่วงไว้อาลัยในไตรมาส 4 ปี 2559