วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน (17 พ.ย.60)

วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน (17 พ.ย.60)

ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง จากความกังวลต่ออุปทานส่วนเกินจากสหรัฐ

- ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบส่วนเกินจากสหรัฐหลังจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐ ปรับเพิ่มขึ้นสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ถึงแม้ว่าจะมีกระแสการคาดการณ์ว่ากลุ่มผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปคจะขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีกถึงสิ้นปี 2561 ก็ตาม

- นาย Khalid al-Falih รัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของซาอุดิอาระเบียระบุว่าตลาดจะยังเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาดไปจนถึงสิ้นเดือน มี.ค. 61 และมองว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจะไม่สามารถปรับลดลงสู่ระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบตั้งไว้ได้ หากไม่มีการขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไป และยังกล่าวว่ายุทธศาสตร์ทางออก (Exit Strategy) ของข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นเร็วจนส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค

- สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ จะมีสัดส่วนกว่า 80% ของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของโลกภายในปีอีก 10 ปีข้างหน้า อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีในการขุดเจาะและผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale oil) ปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และคาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจาก Shale oil จะแตะระดับ 9 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2568

- ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าสกุลเงินหลัก โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค. นี้ อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ Fed บางส่วนมองว่า Fed ควรเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์จากอินโดนีเซีย อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสหรัฐ ที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ และปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสิงคโปร์ที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวมากขึ้นกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ อย่างไรก็ดี ตลาดได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังสิงคโปร์และปริมาณการผลิตจากจีนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอุปสงค์ในเอเชียที่อ่อนตัวลง

ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้

  • ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 53 - 58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
  • ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 59 - 64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

  • การขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปคมีความเป็นไปได้มากขึ้น หลังยังไม่มีประเทศใดคัดค้านข้อตกลงนี้ นอกจากนี้เลขาธิการกลุ่มโอเปค เผยว่า โอเปคกำลังหาทางบรรลุข้อตกลงในการขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตให้ได้ก่อนการประชุมในวันที่ 30 พ.ย. เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว
  • สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น จากเหตุการณ์การกวาดล้างคอรัปชั่นภายใต้การนำของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎหราชกุมารของซาอุดิอาระเบีย เหตุการณ์ดังกล่าวนับปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อความกังวลของนักลงทุนต่อเสถียรภาพทางการเมืองในซาอุฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง
  • ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับขึ้นหลักๆ มาจากการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil โดยล่าสุดสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) คาดการณ์กำลังการผลิตน้ำมันดิบจาก Shale oil ในเดือน ธ.ค. มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน โดยคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นราว 80,000 บาร์เรลต่อวัน แตะระดับ 6.17 ล้านบาร์เรลต่อวัน
  • ภาพรวมอุปสงค์น้ำมันในปี 2560 มีแนวโน้มขยายตัวได้ช้าลงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยล่าสุด สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับลดการคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันลงราว 100,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 1.5 บาร์เรลต่อวันในปี 2560 เนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้เชื้อเพลิงปรับลดลง

-----------------------------

ที่มา : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)          

โทร.02-797-2999