วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน (15 พ.ย.60)

วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน (15 พ.ย.60)

ราคาน้ำมันดิบปรับลงจากแรงขายทำกำไรและคาดการณ์ปริมาณการผลิตของสหรัฐ ปรับเพิ่ม

- ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน หลังตัวเลขคาดการณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับภาพรวมอุปสงค์ในอนาคตที่รายงานโดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) มีแนวโน้มปรับลดลง นอกจากนี้ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของโลกได้เผชิญแรงขายหลังตัวเลขเศรษฐกิจของจีนรายงานออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดไว้

- สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) เผยผลการคาดการณ์กำลังการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale oil) ในเดือน ธ.ค. มีแนวโน้มขยับขึ้นเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน โดยคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นราว 80,000 บาร์เรลต่อวัน แตะระดับ 6.17 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบรวมของสหรัฐ คาดว่าจะอยู่ที่ 9.62 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงกว่าช่วงกลางปี 59 ราวร้อยละ 14

- IEA ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันลงราว 100,000 บาร์เรลต่อวันในปี 60 และ 61 ลงไปอยู่ที่ 1.5 และ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันตามลำดับ โดยเหตุผลหลักมาจากสภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้น ส่งผลกระทบให้ความต้องการใช้เชื้อเพลิงปรับลดลง ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้ตลาดน้ำมันดิบพบกับสภาวะอุปทานล้นตลาดได้อีกครั้งในช่วงไตรมาสแรกของปี 61

- ตลาดน้ำมันดิบถูกขายทำกำไรอย่างต่อเนื่องหลังกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้เข้าสะสมสัญญาซื้อล่วงหน้า (Long position) ทั้งในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และตลาดออปชั่นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันที่ 7 พ.ย. 60 โดยข้อมูลเปิดเผยว่า เฮดจ์ฟันด์ได้สะสมสัญญาคิดเป็นปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปรวมกว่า 1,085 ล้านบาร์เรล

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จากสภาวะการซื้อขายที่ซบเซาหลังตลาดปรับเปลี่ยนท่าทีเพื่อสังเกตการณ์ทิศทางอุปสงค์ในประเทศอินโดนีเซียก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นสวนทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบ แม้ว่าอุปทานยังคงมีมากหลังโรงกลั่นในภูมิภาคคงกำลังการผลิตในระดับสูงเนื่องจากส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันดีเซลและน้ำมันดิบดูไบอยู่ในเกณฑ์ดี นอกจากนี้ อุปทานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีกหากโควต้าการส่งออกของประเทศจีนในช่วงปลายปีปรับเพิ่มขึ้น

ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้

  • ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสเคลื่อนไหวในกรอบ 53 - 58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
  • ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 60 - 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

  • การขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปคมีความเป็นไปได้มากขึ้น หลังยังไม่มีประเทศใดคัดค้านข้อตกลงนี้ นอกจากนี้เลขาธิการกลุ่มโอเปค เผยว่า โอเปคกำลังหาทางบรรลุข้อตกลงในการขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตให้ได้ก่อนการประชุมในวันที่ 30 พ.ย. เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว
  • ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่านซึ่งเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังรัฐบาลซาอุดิอาระเบียกล่าวหาอิหร่านว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์การโจมตีด้วยขีปนาวุธไปยังสนามบินนานาชาติคิงคาลิดทางเหนือของกรุงริยาด ซึ่งกระทำโดยกลุ่มกบฎฮูธีในเยเมน รวมถึงเหตุการณ์ในเลบานอนที่มีการเพิกเฉยในการกวาดล้างกลุ่มฮิสบอลลาห์ (Hezbollah) ซึ่งหนุนโดยอิหร่าน ประกอบกับ นายกรัฐมนตรีเลบานอนของนายซาอัด ฮาริรี ซึ่งเป็นพันธมิตรกับซาอุดิอาระเบียประกาศลาออกจากตำแหน่ง
  • ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับขึ้นหลักๆ มาจากการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยล่าสุดสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้นราว 67,000 บาร์เรลต่อวัน แตะระดับ 9.62 ล้านบาร์เรลต่อวัน

--------------------------------------