Daily Strategy (15 พ.ย.60)

Daily Strategy (15 พ.ย.60)

ระวังแรงเทขายโดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน

กลยุทธ์การลงทุน: ตลาดหุ้นไทยวานนี้บวกขึ้น สวนทางตลาดหุ้นอื่นในโลก ซึ่งคาดว่าได้รับอานิสสงค์จากผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งพบปะนักวิเคราะห์และนักลงทุน ให้ข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับทิศทางในอนาคต โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Domestic Play เช่น ค้าปลีก ค้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อาหารและเครื่องดื่ม มีกำไรที่ออกมาสดใส ทำให้เกิดมุมมองที่ดีต่อการลงทุน อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงในวันนี้ อาจจะฉุดดัชนีรวม และกลุ่มพลังงานลง ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ วันนี้เราจึงเลือกหุ้น TASCO ที่รับประโยชน์จากราคาน้ำมันอ่อนตัวลง และกำไรไตรมาส 3/60 แม้ว่าอ่อนแอ แต่คาดว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว AMATA รับผลบวกขายที่ดินได้ดีเกิดความคาดหมาย จากผลบวกเรื่อง EEC และ CK ซึ่งกำไรประกาศออกมาดีเกินคาด

หุ้นเด่นวันนี้: TASCO(ปิด 21.80 บาท; ซื้อ; AWS เป้าหมาย 28.580 บาท)

  • TASCOผลประกอบการไตรมาส 3/60 ประกาศออกมา 401 ล้านบาท แม้ต่ำกว่าคาดที่ 450 ล้านบาท แต่ถือว่าเป็นช่วงที่น่าจะ Bottom out เนื่องจากเป็นช่วง Low Season ยอดขายต่ำเพียง 460,000 ตันในไตรมาส 3/60 คาดว่าเร่งตัวขึ้นเป็นเกือบ 600,000 ตันในไตรมาส 4/60 ซึ่งในไตรมาส 4/60 และ 1/61 จะเป็นช่วงย่างเข้าสู่ High Season ซึ่งเราคาดหวังกำไรสุทธิไว้ไตรมาสละ 900-1,200 ล้านบาท สำหรับ High Season เนื่องจากปริมาณขายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อน โดยจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 5.0-6.0 หมื่นตันต่อเดือน เทียบกับ ช่วง Low Seasonยอดขาย 2.5-3.0 หมื่นตันต่อเดือน
  • ปัจจัยในประเทศ:

    • ดัชนี MSCI เพิ่มหุ้นไทย ปีหน้าพีอี 4 เท่า เด่นในภูมิภาค เข้าตานักลงทุนสถาบันใน-นอก เอ็มเอสซีไอเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย คาดหนุนเงินไหลเข้า ผู้จัดการกองทุนมองปี 2561 เสน่ห์แรง กำไรบริษัทจดทะเบียนโต 10% SET เหวี่ยง 1,600-1,900 จุด (ที่มา:Posttoday)
    • ชงลดหย่อนภาษี ปลุกท่องเที่ยวเมืองรองปีหน้า ท่องเที่ยวชงมาตรการหักลดหย่อนภาษีด้านการท่องเที่ยวตลอดปีหน้า ดันเป้าไทยเที่ยวไทย 160 ล้านคน/ครั้ง สร้างรายได้ 1 ล้านล้านบาท เน้นส่งเสริมเมืองรองเป็นหลัก (ที่มา: Bangkokbiznews) ความเห็น: เป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว
    • BGRIM (Close Bt27.50; Hold; AWS TP Bt28.00)ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 ออกมามีกำไรสุทธิ 568 ล้านบาท (+22% YoY, +35% QoQ) ดีกว่า Bloomberg consensus ที่คาดไว้ 24% ความเห็น ผลประกอบการกลุ่มโรงโรงไฟฟ้าในไตรมาส 3/2560 ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด น่าจะช่วยให้มี Sentiment ทางบวกต่อการเก็งกำไรในกลุ่มนี้ สำหรับ BGRIM เรามองว่ายังมีโอกาสเติบโตอีก อย่างไรก็ตามราคาปัจจุบันเหลือ Upside เพียง 1.8% จึงปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” จากเดิม “ซื้อ” ทั้งนี้เรามีโอกาสปรับประมาณการและราคาเป้าหมายขึ้น หากบริษัทสามารถทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการใหม่หรือมีกำลังการผลิตเพิ่มเติม
    • CK (ปิด 75 บาท; ซื้อ; AWS เป้าหมาย 30 บาท) กำไรดีระดับ 600 ล้านบาท สองไตรมาสต่อเนื่อง โดยกำไรไตรมาส 3/60 เท่ากับ 625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% YoYลดลง 6.6% QoQสาเหตุสำคัญจากการลด SG&A expenses ลงไป 21% YoYจากการที่ปีก่อนงานใหญ่จบและมีการโอนบุคคลากรมาเตรียมรับงานใหม่ ระดับกำไร 600 ล้านบาท ต่อไตรมาส คาดว่าจะเป็น Benchmark ใหม่สำหรับ CK
    • กลุ่มอสังหาริมทรัพย์: ANAN ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 ออกมามีกำไรสุทธิ 140 ล้านบาท (-5% YoY, -50% QoQ) ต่ำกว่า Bloomberg consensus ที่คาดไว้ 39% ในขณะที่ SPALI ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 ออกมามีกำไรสุทธิ 2,094 ล้านบาท (+147% YoY, +58% QoQ) แต่หากตัดรายการพิเศษออกจะมีกำไรจากกรดำเนินงานปกติ 1.73 พันล้านบาท ดีกว่า Bloomberg consensus ที่คาดไว้ 10%
    • PTTGC (ปิด 80 บาท; ซื้อ; IAA Consensus เป้าหมายเฉลี่ย 94 บาท)จาก Analyst Meetingคาดกำไรไตรมาส4/60 ดีกว่า ไตรมาส 3/60 เนื่องจากไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงงาน ขณะที่ราคาโพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) ปรับตัวสูงขึ้น เป้าหมายยอดขายปี 2561 จะเพิ่มขึ้นเป็น 8 แสนล้านบาท จาก 4.5 แสนล้านบาทในปี 2560 เติบโตตามปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้นปี 2561PTTGC ประเมินราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยช่วง 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 51 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ ,ค่าการกลั่น (GRM) อยู่ที่ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 6.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ,ส่วนต่างราคา (สเปรด) ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ อยู่ที่ 229 เหรียญสหรัฐ/ตัน จาก 223 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ ,ราคา HDPE อ่อนลงอยู่ที่ 1,133 เหรียญสหรัฐ/ตัน จาก 1,160 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ ในปี 2561 จะได้รับประโยชน์จากเต็มที่จากการเข้าซื้อหุ้น 6 บริษัทในธุรกิจปิโตรเคมีสายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพ ของกลุ่มบมจ.ปตท. (PTT) ซึ่งเราได้เห็นผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อธุรกิจเพิ่มในไตรมาส 3/60 นี้แล้วโดยคาดว่าจะเพิ่มกำไรต่อปีราว 2.4 พันล้านบาทจากฐานกำไรรายปีของ PTTGC ราว 4 หมื่นล้านบาทนอกจากนี้กำลังการผลิตใหม่ของโครงการ LLDPE ขนาด 4 แสนตัน/ปี จะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/61ความเห็น: อัตราการเติบโตของกำไรในปี 2561 ไม่สูงนัก แต่พร้อมเป็นขาขึ้นในสายธุรกิจอะโรเมติกส์ และโรงกลั่น ส่วนสายเอทิลีน บริษัทให้มุมมองว่าภาวะล้นตลาดจากการผลิตทางสาย Shale Oil/Shale Gas ไม่มีผลมากนัก เนื่องจากดีมานด์จากจีน ที่ห้ามเรื่องเม็ดพลาสติก Recycle ทำให้ต้องนำเข้าเม็ดพลาสติกมากขึ้นจะเริ่มปีหน้า ภาวะ Oversupply ของเอทิลีน เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองสำหรับอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งกระทบ SCC มากสุด PTTGC มีผลบ้างแต่ไม่มากนัก

     

  • TTA (Close Bt9.25; Buy; AWS TP Bt13.00)ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 ออกมามีกำไรสุทธิ 1 ล้านบาท (+609 YoY, -77% QoQ) แม้ธุรกิจเดินเรือเทกองจะฟื้นตัวมีกำไร 74.2 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 222.7 ล้านบาท แต่ธุรกิจอื่นกลับยังไม่ฟื้นตัวตามที่ตลาดคาดโดย MML กลับมารายงานผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA 39.6 ล้านบาท เนื่องจาก Utilization Rate ของธุรกิจเรือวิศวกรรมใต้ทะเลลดลงเหลือ 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่สูงถึง 86% ด้าน PMTA แม้กำไรขั้นต้นทรงตัว แต่มีค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพิ่มขึ้นรวมถึงรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ PMTA รายงานกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA เท่ากับ 39  ล้านบาท ความเห็น แม้ผลประกอบการไตรมาสนี้จะออกมาน่าผิดหวัง แต่เรายังคงมุมมองเป็นบวกกับธุรกิจเรือเทกองในปีหน้า  คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 13.00 บาท
  • SAWAD (ราคาปิด 66.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าของ AWS 00 บาท) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/60 ที่ 622 ล้านบาท ลดลง 1.4% QoQแต่เพิ่มขึ้น 14.5% YoYการปรับตัวลง QoQถูกฉุดโดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่อ่อนแอลง ขณะที่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ YoYเป็นไปตามสินเชื่อที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งหนุนโดยการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง (SET) ความเห็น: ผลประกอบการดังกล่าวต่ำกว่าที่เราคาด 7% และต่ำกว่าประมาณการเฉลี่ยบลูมเบิร์ก 9%

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • น้ำมัน WTI ปรับตัวลดลงกว่า 2% ในวันอังคารจากการประมาณการณ์ของ IEA ที่เพิ่มปริมาณการผลิต และลดความต้องการของโลกลง โดยได้ลดความต้องการลง 100,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2017 และปี 2018 เป็น 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ และกล่าวว่าสภาพอากาศที่อุ่นทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันดิบลดลง ขณะที่การเพิ่มกำลังการผลิตของผู้ผลิตบางประเทศอาจทำให้เกิดภาวะน้ำมันล้นตลาดอีกครั้งในปี 1Q18 ด้านปริมาณการผลิตของสหรัฐฯก็เพิ่มขึ้นเช่นกันโดยเพิ่มกว่า 14% ตั้งแต่กลางปี 2016 เป็น 9.62 ล้านบาร์เรลต่อวัน (CNBC)