Daily Strategy (14 พ.ย.60)

Daily Strategy (14 พ.ย.60)

ตลาด Selective Buy ต่อไป

กลยุทธ์วันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังไร้แรงซื้อชัดเจน เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเช่นฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ขณะที่นักลงทุนยังสับเปลี่ยนหมุนเวียนการลงทุนรายกลุ่ม หุ้นกลุ่ม Domestic Play สดใส ในขณะที่กลุ่มค้าปลีกตัวหลัก คือ CPALL ยังรายงานกำไรที่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม เราเริ่มสนใจกลุ่มโรงกลั่นจากการที่ราคาน้ำมันเริ่มอ่อนตัวลง ให้เริ่มหาจังหวะซื้อ BCP, TOP แต่หุ้นปลอดภัยและคาดว่าเห็น Growth ที่ดีในปีหน้าตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น เราเลือก BBL วันนี้มีประชุมนักวิเคราะห์หุ้น BTS ซึ่งคาดว่าจะมีรายงานความคืบหน้าเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู เรามองเรื่องการลงทุนสาธารณูปโภค เป็นผลบวกกับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ใหญ่ มากกว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หรือผู้ลงทุนในสาธารณูปโภค สำหรับกลุ่มพลังงาน เรายังเลือก โรงกลั่น-ปิโตรเคมี สายอะโรเมติกส์-ถ่านหิน มากกว่าธุรกิจ E&P ด้านน้ำมัน เนื่องจากเรามองเรื่องซัพพลายในกลุ่มโรงกลั่นไม่ค่อยเพิ่ม เพื่อมีความกังวลว่าอนาคตรถยนต์จะเป็น EV ทำให้ซัพพลายในเชนโรงกลั่นมีจำกัด ขณะที่ดีมานด์เพิ่มขึ้นเร็วตามเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น เราชอบ TOP, BCP, PTT, IVL, BANPU

หุ้นเด่นวันนี้: BBL (ราคาปิด 190.50 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าของ AWS 214.00 บาท)

  • เรามองว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการเก็บสะสมหุ้น BBL เนื่องจากปัจจุบันหุ้นดังกล่าวยังซื้อขายกันในอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีที่ถูกเพียง 0.9 เท่า ขณะที่เราคาดว่าธนาคารจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ นอกจากนี้ BBL ได้ส่งสัญญาณมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อประเด็นคุณภาพสินทรัพย์ เนื่องจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคส่งออก ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้ง ธนาคารยังมีอีกปัจจัยบวกจากสัญญาการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตผ่านธนาคารกับบริษัท เอไอเอ จำกัด ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในอนาคต เราคาดกำไรสุทธิของ BBL จะเร่งตัวเติบโต 8.1% ในปี 61 จาก 2.4% ในปีนี้
  • Price Pattern ของ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ BBL ที่สามารถ Break เป้าหมายถัดไปด้วยการปิดตลาดเหนือ 188 บาทไปได้แล้วนั้น จึงมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 50 บาท ทั้งนี้ BBL มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 187.50 บาท (Resistance: 191.00, 191.50, 192.50; Support: 190.00, 189.50, 188.50)

 

ปัจจัยในประเทศ:

  • MSCI ประกาศ Semi-Annual Index Review ซึ่งจะถูกคำนวณนับตั้งแต่วันปิดตลาดของวันที่ 30 พ.ย. สำหรับ MSCI Global Standard Indexes ไม่มีหุ้นตัวใดที่ถูกเพิ่ม แต่ BEC ถูกถอดออกจากดัชนี ขณะที่ MSCI Small Cap Indexes มี 5 บริษัทที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ BEC, GGC, ORI, VNT และ WHAUP และมี 6 บริษัทที่ถูกถอดออก ได้แก่ AIRA, GPSC, NYT, SCN, STPI, และ THRE (MSCI)
  • ธปท.ไฟเขียวระบบชำระเงินด้วย QR code ของ 5 ธนาคาร ซึ่งได้แก่ ธ.ออมสิน,KBANK, SCB, KTB, และ BBL ทำให้ธนาคารเหล่านี้สามารถออกจาก regulatory sandbox ของ ธปท. และให้บริการชำระเงินผ่าน QR code ได้ทันที ขณะที่ยังมีอีก 3 ธนาคารที่อยู่ใน sandbox ได้แก่ BAY TMB และ TBANK (บางกอกโพสต์/ไทยรัฐ) ความเห็น: แผนดังกล่าวเป็นไปตามความพยายามของรัฐในการผลักดันไทยให้เป็นสังคมไร้เงินสด (cashless society)
  • BCP (ราคาปิด 75 บาท; ซื้อ; AWS เป้าหมาย 50 บาท) ไตรมาส 3/60 กำไรสุทธิ 1,316 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%YoY ตอบรับค่าการกลั่นไตรมาส 3/60 ดีโดดเด่น และรับรู้รายได้-กำไรจาก BCPG ซึ่งดีมาก คาดหวังธุรกิจของกลุ่ม BCP เป็นภาวะที่สดใส ต่อเนื่องถึงปี 2561 ราคาหุ้น BCP ยังคงถูก เนื่องจากค่า PER ต่ำ EPS สำหรับ 9M60 เท่ากับ 3.19 บาทต่อหุ้น คาด EPS ทั้งปี 2560-2561 เท่ากับ 4.78 บาท และ 5.00 บาท ตามลำดับ วันที่ 17 พ.ย.มี Analyst Meeting
  • BCPG มีกำไรสุทธิ 517 ล้านบาท ในไตรมาส 3/60 เพิ่มขึ้น 43%YoY และเพิ่มขึ้น 11%QoQ โดยมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นประมาณ 854 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoYแต่ลดลง 4% QoQเพราะความเข้มแสงน้อยกว่าไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนชุก นอกจากนี้บริษัทเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ต้นปีเป็นครั้งแรกรวมถึงจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์ เพิ่มเติมอีกประมาณ 360 ล้านบาท มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายการพิเศษเพิ่มขึ้นเป็น 678 ล้านบาท ผลประกอบการในไตรมาส 3/60 นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ทุกโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นสามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้ตามแผนเต็มไตรมาส
  • CPALL (ราคาปิด 70.50 บาท; N.R. ราคาเป้าหมายของ IAA 79.67 บาท) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 เติบโตต่อเนื่อง โดยรายงานกำไรสุทธิ 4,970 ล้านบาท (+21% YoY, +7% QoQ) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ Bloomberg consensus 4% กำไรของบริษัทที่เติบโตดีมาจาก (1) รายได้ที่เพิ่มขึ้น 9%  (2) สัดส่วนของสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้นทำให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 22.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 22.1 % และ (3) ดอกเบี้ยจ่ายลดลงอันเป็นผลจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ แนวโน้มผลประกอบการยังเติบโตแข็งแกร่ง
  • กลุ่มโรงแรมประกาศงบไตรมาส 3/2560 กำไรต่ำกว่าคาดเล็กน้อย โดย CENTEL ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 ออกมามีกำไรสุทธิ 368 ล้านบาท (+14.5% YoY, -5% QoQ) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ Bloomberg consensus 4% และ MINTประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 ออกมามีกำไรสุทธิ 1,142 ล้านบาท (+15% YoY, +55% QoQ) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ Bloomberg consensus 5%
  • กลุ่มโรงไฟฟ้าประกาศงบไตรมาส 3/2560 ออกมาส่วนใหญ่ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ ล่าสุดได้แก่ RATCH  ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 ออกมามีกำไรสุทธิ 1,861 ล้านบาท (+121% YoY, -15% QoQ) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ Bloomberg consensus 20% เช่นเดียวกับ EGCO ที่ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60 ออกมามีกำไรสุทธิ 3,516 ล้านบาท (+24% YoY, -0.4% QoQ) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ Bloomberg consensus 37%
  • TASCO(ปิด 21.00 บาท; ซื้อ; AWS เป้าหมาย 50 บาท) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/60 เท่ากับ 401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27%YoY และ 17%QoQอัตรากำไรขั้นต้น 12% ดีกว่า 9.6% ในไตรมาส 3/59 และ 9.8% ในไตรมาส 2/60แต่งวด 9M60 กำไรสุทธิ 1,983 ล้านบาท ลดลง 9%YoYอัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 12.6% จาก 17.8% ผลที่เกิดขึ้นแสดงถึง SeasonalEffect คือไตรมาส 2 และ 3 กำไรจะอ่อนแอเนื่องจากเป็นฤดูฝน และพ้นช่วงเริ่มและช่วงเร่งงบประมาณเบิกจ่ายประจำปี ที่มักเป็น High Season ในช่วงไตรมาส 4 และไตรมาส 1 อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 4/60 ก็จะย่างเข้าฤดู High Season ของ TASCO แล้ว คาดว่ากำไรสุทธิจะเร่งตัวขึ้นไปสู่ระดับ 900-1,200
  • TKN (ราคาปิด 23.50 บาท; N.R.; ราคาเป้าหมายของ IAA 28.00 บาท)ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2560 น่าผิดหวัง โดยรายงานกำไรสุทธิ 160 ล้านบาท (-21% YoY, +18% QoQ) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ Bloomberg consensus 20%  แม้รายได้ในไตรามาสนี้จะเติบโต 11.4% แต่อัตรากำไรขั้นต้นกลับลดลง เนื่องจากต้นทุนสาหร่ายและค่าเสื่อมราคาจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น
  • TOPไตรมาส 3/60 กำไรสุทธิ 7,605 ล้านบาท เพิ่ม 158%YoY ค่าการกลั่นไตรมาส 3/60 พุ่งสูงสุดในช่วงปี รวมทั้งรับรู้ Stock Gain ดัน GIM สูงเกิน 12 เหรียญสหรัฐฯ ชี้ไตรมาส 4/60 ราคาน้ำมันยังทรงตัวดีต่อ ลุ้นค่าการกลั่นช่วงที่เหลือของปี ดีใกล้เคียงกับไตรมาส 3/60
  • QH(Bt90; HOLD; AWS TP 3.02) QH รายงานรายได้ที่ 3Q60 ที่ 5,119 ล้านบาท โดยโตขึ้น 13.5% YoYและ 16.0% QoQกำไรอยู่ที่ 1,128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.8% YoYแต่ 45.3% QoQตามลำดับ แต่ถ้าตัดรายการพิเศษออกไปจะมีกำไรปกติเหลือเพียง 415 ล้านบาท ลดลงถึง 45.9% YoYและ 46.5% QoQเนื่องมาจากมีค่าใช้จ่ายในการบริหารซึ่งสูงถึง 1,104 ล้านบาท โดย QH ยังมีปัญหาเรื่องการระบาย Inventory อยู่ ซึ่งกำไรพิเศษ 712 ล้านบาทมาจากการลดสัดส่วนในการลงทุนใน LHBANK เท่านั้น

 

ตลาดต่างประเทศ

  • จับตาสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในอังกฤษ หลังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษจำนวน 40 คนได้ลงชื่อในหนังสือขอยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ซึ่งทำให้ขณะนี้เหลืออีกเพียงอีก 8 รายชื่อก็จะสามารถเริ่มกระบวนการอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวผู้นำหญิงอังกฤษได้อย่างเป็นทางการ

 

สินค้าโภคภัณฑ์:

  • ราคาน้ำมันปรับตัวลง:หลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐเพิ่มขึ้นสัปดาห์ที่แล้วโดยแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 9 แท่น สู่ระดับ 738 แท่นในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 พ.ย. กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ออกรายงานประจำเดือนพ.ย.ระบุว่า ประเทศต่างๆทั่วโลกจะมีความต้องการใช้น้ำมันโอเปกในปีหน้าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 42 ล้านบาร์เรล/วัน โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 360,000 บาร์เรล/วันจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ นักลงทุนรอดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพุธนี้ เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย ความเห็น: ราคาน้ำมันเริ่มอ่อนตัวจากระดับสูงสุดของปี โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้นไปสูงสุดของปีที่ 64.65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ช่วง 7-8 พ.ย.60 ปัจจุบันอ่อนตัวลงมาที่ 63.16 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ราคาขึ้นไปจุดสูงสุดของปีที่ 57.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล วันที่ 8 พ.ย.60 ปัจจุบันราคาอ่อนลงมาที่ 56.76 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลคาดว่าระดับราคาน้ำมันที่ผ่อนคลายลงมานี้ จะเริ่มส่งผลบวกต่อกลุ่มโรงกลั่น เพราะวัตถุดิบคือน้ำมันหยุดการปรับตัวขึ้น คาดว่าทำให้ค่าการกลั่นกลับมาทรงตัวในระดับ 7-8 เหรียญสหรัฐฯ ช่วงไตรมาส 4/60 นี้ รวมถึงจะส่งผลบวกต่อ TASCO (ปิด 21.00 บาท; ซื้อ; AWS เป้าหมาย 28.50 บาท)