อำลา "อันเดรีย ปีร์โล" ศิลปินในร่างนักฟุตบอล

อำลา "อันเดรีย ปีร์โล" ศิลปินในร่างนักฟุตบอล

“ฟุตบอลน่ะเขาใช้หัวเล่น ส่วนเท้าน่ะหรอ? มันเป็นแค่อุปกรณ์ ” วลียอดฮิตที่ทำให้หลายคนหวนนึกถึงอัฉริยะลูกหนังที่มีนามว่า อันเดรีย ปีร์โล ซึ่งบนวัย 38 ปี เจ้าตัวได้ประกาศอำลาผืนหญ้าอย่างเป็นทางการพร้อมกับยุติเส้นทางนักเตะอาชีพตลอด 22 ปีที่ผ่านมาอย่างยิ่ง

ปีร์โล ลงสนามให้ นิวยอร์ก ซิตี ต้นสังกัดในเมเจอร์ลีก สหรัฐ เป็นเกมสุดท้ายหลังถูกเปลี่ยนตัวลงสนามในฐานะตัวสำรองในนาทีที่ 90 ของเกมเพลย์ออฟที่เอาชนะ โคลัมบัส ครูว์ 2-0 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่สุดท้าย นิวยอร์ก ของเขาต้องพ่ายด้วยผลรวม 3-4 ยุติเส้นทางไว้เพียงรอบรองชนะเลิศเท่านั้น

ตลอดอาชีพการค้าแข้ง 22 ปี ปีร์โล ผ่านการลงเล่นกับ 6 สโมสร และรับใช้ ทีมชาติอิตาลี อีก 116 นัด โดยเขาเริ่มต้นค้าแข้งกับ เบรสชา เมื่อปี 1995 จากนั้นย้ายไปเล่นให้กับ อินเตอร์ มิลาน, เรจจินา, เอซี มิลาน และยูเวนตุส ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ นิวยอร์ก เมื่อปี 2015 โดยกองกลางมากพรสวรรค์รายนี้คว้าแชมป์ไป 13 รายการร่วมกับสโมสรและทีมชาติ ซึ่งผลงานที่ดีที่สุด คือการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2 สมัย

อย่างไรก็ตามวันนี้จะขอพาย้อนไปดูเส้นทางของศิลปินในร่างนักบอลคนนี้กันอีกครั้ง ว่าเพราะอะไรกองกลางที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมากมายถึงกลายมาเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมอาชีพมากที่สุดคนหนึ่งของวงการลูกหนังยุคปัจจุบัน

จากตัวรุกสู่มิดฟิลด์ตัวรับ

ปีร์โล ประเดิมสนามให้ เบรสชา ในกัลโช เซเรีย อา ด้วยวัยเพียง 16 ปี และกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่ลงเล่นในลีกสูงสุดของอิตาลี จากนั้นได้ย้ายไปร่วมทีม อินเตอร์ มิลาน ในปี 1998 แต่ต้องประสบปัญหาไม่สามารถรักษาตำแหน่งตัวจริงไว้ได้จนถูกปล่อยยืมให้กับ เรจจินา และ เบรสชา ต้นสังกัดเก่า

การกลับมายังถิ่นเก่าซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขานอกจากจะได้เล่นร่วมกับ โรแบร์โต บาจโจ ขวัญใจในวัยเด็กแล้ว การมาอยู่กับ เบรสชา ยังถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเมื่อได้ร่วมงานกับ คาร์โล มาซโซเน กุนซือของทีมเวลานั้น ที่เป็นคนริเริ่มให้เขาลองเปลี่ยนจากตำแหน่งกองกลางตัวรุกมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีในระดับหนึ่งก่อนที่จะไปพัฒนาการเล่นในบทบาทใหมนี้ที่เอซี มิลาน ภายใต้การคุมทัพของ คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือที่เขาเปรียบให้เป็นเหมือนบิดาคนที่สองของเขา

หลังจากถูกปล่อยไปเล่นแบบยืมตัวกับ 2 สโมสร ปี 2001 อินเตอร์ มิลาน ก็ตัดสินใจปล่อยตัว ปีร์โล มาอยู่กับ เอซี มิลาน คู่ปรับร่วมเมืองแบบถาวร โดยตอนแรกเจ้าตัวยังคงรับบทบาทเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกหลังคู่กองหน้า กระทั่งครั้งหนึ่ง เจนนาโร กัตตูโซ กองกลางตัวรับของทีมเกิดบาดเจ็บ และเป็น ปีร์โล เองที่เดินไปเคาะห้อง อันเชลอตติ แล้วบอกว่า เขาสามารถเล่นตำแหน่งกองกลางตัวต่ำได้ เพราะเคยเล่นตำแหน่งนี้สมัยอยู่ เบรสชา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นในตำแหน่งนี้อย่างจริงจัง

นับแต่นั้นมา อันเชเลอตติ ใช้งาน ปิร์โล ลงสนามเป็นตัวจริง ในตำแหน่ง deep lying midfielder หรือ “ตัวทำเกมจากแนวลึก” พร้อมกับการอ่านเกมและวางบอลอย่างแม่นยำ จนพาทีมปีศาจแดงดำประสบความสำเร็จอย่างมากมายในช่วงเวลานั้น

แข้งฟรีที่ดีที่สุดของโลก

นักเตะอิตาลีน้อยคนนักที่ได้โอกาสลงเล่นกับ อินเตอร์ มิลาน, เอซี มิลาน และ ยูเวนตุส 3 สโมสรยักษ์ใหญ่ในเวลทีกัลโช เซเรีย อา แต่ อันเดรีย ปีร์โล ก็ได้แสดงให้ทุกคนได้เห็นมาแล้ว

ปิร์โล อยู่กับมิลานเกือบ 10 ปี คว้ามาทั้งหมด 9 ถ้วยแชมป์และรางวัลส่วนตัวอีกนับไม่ถ้วน สุดท้ายในปี 2011 มิลาน เลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับเขาด้วยเหตุผลที่ว่า เขาอายุมากเกินไป บนวัย 32 ปี ในตอนนั้น

“ผมย้ายออกจาก เอซี มิลาน เพราะพวกเขาไม่ต้องการผมอีกต่อไป ผมแค่ต้องการจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ผมยังสามารถเล่นในระดับสูงได้ และนั่นคือสิ่งที่ผมได้แสดงให้เห็น” ปีร์โล อธิบายถึงสาเหตุที่เขาเลือกอำลาถิ่นซาน ซีโร เมื่อ 6 ปีก่อน

ยูเวนตุส คว้าตัว ปีร์โล มาร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว และอยู่กับทีม 4 ซีซั่น กวาดไป 7 แชมป์ พาทีมไร้พ่าย 1 ฤดูกาล รวมทั้งสิ้น 49 นัด เก็บไป 100 แต้ม เป็นทีมแรกในเซเรีย อา และเป็นแชมป์ลีก 4 สมัยติดต่อกันนับตั้งแต่ย้ายมา ส่วน มิลาน ต้นสังกัดเก่าไม่เคยได้แชมป์อะไรเลยตั้งแต่เขาจากมา

เจ้าพ่อลูกนิ่ง

นอกจากทรงผม และหนวดเคราอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้แฟนบอลจดจำเขาได้อย่างแม่นยำ อีกสิ่งที่ทุกคนจะนึกถึงกองกลางชาวอิตาลีรายนี้ได้ดีก็คือ การสังหารลูกนิ่ง ที่ไม่ว่าจะเป็นลูกฟรีคิก หรือ จุดโทษ นักเตะรายนี้จัดว่าทำได้อย่างไม่มีที่ติเลยทีเดียว

ย้อนกลับไปในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2012” รอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่าง อิตาลี กับ อังกฤษ ปีร์โล โชว์การยิงจุดโทษแบบ"ปาเนนกา"ใส่ โจ ฮาร์ท นายทวารทีมสิงโตคำราม ช่วงการดวลจุดโทษชี้ขาด โดยหลังจบเกม รอย ฮอดจ์สัน กุนซือสิงโตคำรามถึงกับออกมายอมรับหัวจิตหัวใจของกองกลางรายนี้ที่แสดงออกมาให้เห็นในชั่วโมงที่กดดันแบบนั้น

นอกจากนี้ในเรื่องของการสังหารฟรีคิก ปีร์โล ยังคงเป็นเบอร์ 1 ในเรื่องนี้อีกเช่นกัน เมื่อปัจจุบันเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่ทำประตูจากลูกฟรีคิกได้มากที่สุดในศึกกัลโช เซเรีย อา ที่ 28 ประตู เทียบเท่ากับ ซินิซา มิไฮโลวิช อดีตเจ้าพ่อลูกนิ่งของลาซิโอ

นักเตะที่ทุกคนต่างเคารพ

เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ ชาบี เอร์นานเดซ เคยอยากให้ ปีร์โล มาเล่นที่บาร์เซโลนา เขาได้รับการยกย่องอย่างมากในบราซิล โดย คาร์ลอส ดุงกา เคยให้สัมภาษณ์ตอนที่ยังเป็นกุนซือทัพเซเลเซาว่า หากเขาต้องเลือกนักเตะคนหนึ่งมาอยู่ในทีม ปีร์โล จะเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

“ปีร์โล คือ อัจฉริยะ เช่นเดียวกับ โรแบร์โต บาจโจ ผมคิดว่าเขาเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งเท่าที่วงการฟุตบอลอิตาลีเคยมีมาในช่วง 25 ปีหลัง” จานลุยจิ บุฟฟอน ผู้กษาประตูทีมชาตอิตาลี กล่าวถึงอดีตเพื่อนร่วมทีมยูเวนตุส

นอกจากวิสัยทัศน์ในเกมลูกหนังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ปีร์โล เป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมอาชีพแล้ว บุคลิกและนิสัยส่วนตัวอันเรียบง่ายเฉกเช่นเดียวกับเวลาที่อยูในสนามยังเป็นสิ่งที่เขาได้รับการชื่นชมและนับถือจากหลายคนที่เคยใกล้ชิดกับเขาด้วยเช่นกัน

“ผมไม่รู้สึกกดดัน ผมไม่สนใจเลย ผมใช้เวลาช่วงบ่ายวันที่ 9 มิถุนายน ปี 2006 ในเบอร์ลิน นอนและเล่นเกมเพลย์สเตชัน และต่อมาในคืนนั้นผมก็ลงสนามไปคว้าแชมป์โลก” ปีร์โล เคยออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนการแข่งขันนัดชิงฟุตบอลโลกที่เขาได้แสดงถึงความผ่อนคลายด้วยการเล่นเกมเพลย์สเตชันโดยไม่รู้สึกกดดันแต่อย่างใด

นอกจากมาดละเมียดที่พบเห็นเขาในสนามแล้ว นอกสนาม ปีร์โล ยังคงมีความละเอียดอ่อนพอๆกับสิ่งที่เขาแสดงให้เห็นบนผืนหญ้า ด้วยการชอบดื่มไวน์เป็นชีวิตจิตใจ แถมยังเป็นเจ้าของไร่องุ่นซึ่งทำร่วมกับครอบครัวที่บ้านเกิดของเขาในเมืองเบรสชา และไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากเลิกเล่นแล้วเขาจะไปประกอบอาชีพอะไรต่อไป