‘อาลีบาบา’ปฏิวัติโลกค้าปลีกชู“เอไอ-เออาร์”เสริมแกร่ง
วนมาอีกครั้งสำหรับมหกรรมช้อปปิ้งระดับโลก “11.11” ของ “อาลีบาบา” ซึ่งปีนี้ยกระดับความยิ่งใหญ่ด้วยกลยุทธ์ค้าปลีกยุคใหม่ หรือ “New Retail” ซึ่งมีการผสมผสานประสบการณ์ช้อปปิ้งบนช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ให้กลายเป็นหนึ่งเดียว
ภายใต้ธีม “2017 Tmall Double 11 Global Shopping Festival” หรือ “Happy Double 11” ความทรงพลังของยักษ์อีคอมเมิร์ซโลกไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าปีที่ผ่านๆ มา เพียง 1 นาทีแรกยอดขายทะยานสูงถึง 3 พันล้านหยวน จากนั้นทำ “นิวไฮ” ในนาทีที่ 3 ด้วยมูลค่า 1 หมื่นล้านหยวน จากปีก่อนหน้า 1 หมื่นล้านหยวนในนาทีที่ 5 สัดส่วนมาจากช่องทางโมบายกว่า 94%
โดยสรุปมูลค่าการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงของเทศกาลประจำปี 2560 สูงถึง 1.68 แสนล้านหยวน (2.53 หมื่นล้านดอลลาร์) หรือประมาณ 8.39 แสนล้านบาท สัดส่วนมาจากช่องทางโมบาย 90%
สถิติที่น่าสนใจ ภายในเวลาเพียง 2 นาที 1 วินาที ยอดขายที่ชำระผ่านอาลีเพย์มีมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (6.6 พันล้านหยวน)
ภายใน 2 ชั่วโมง ยอดขายพุ่งสูงขึ้นถึง 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์ (7.88 หมื่นล้านหยวน) อัตราการสั่งซื้อและชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือสูงถึง 91% และ มูลค่ายอดขายรวม(จีเอ็มวี) ทะลุยอดของปี 2559 เมื่อเวลา 13.09 น. ของประเทศจีน หรือหลังจาก 13 ชั่วโมงที่เปิดเทศกาล
ช่วง 1 ชั่วโมงแรกของมหกรรม “อาลีบาบา คลาวด์” ประมวลผลคำสั่งซื้อสูงสุดถึง 325,000 ครั้งต่อวินาที “อาลีเพย์” ประมวลผลคำสั่งชำระเงินสูงสุดถึง 256,000 ครั้งต่อวินาที ภายในชั่วโมงเดียว มีแบรนด์กว่า 60 รายที่ทำยอดขายได้สูงกว่า 100 ล้านหยวน (15.1 ล้านดอลลาร์)
หมวดการท่องเที่ยว ประเทศไทยรั้งอันดับ 1 จุดปลายทางต่างประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน รองลงมาคือ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ออสเตรเลีย และมาเลเซียตามลำดับ
“นายแดเนียล จาง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า อาลีบาบาไม่ได้โฟกัสเพียงแค่ตัวเลขมูลค่าการซื้อขาย แต่หวังเข้าใจถึงพัฒนาการการซื้อขายสินค้าของผู้บริโภค ไลฟ์สไตล์ สามารถทำนายล่วงหน้าว่าพวกเขาต้องการอะไร การจะไปถึงจุดนั้นหมายความว่างานสำคัญไม่ใช่เพียงเข้าถึงดีมานด์ แต่ต้องเป็นผู้สร้างดีมานด์ให้กับตลาดด้วย
ปัจจุบัน ฐานลูกค้าของบริษัทนอกประเทศจีนขยายไปกว้างมากขึ้นตามลำดับ รวมถึงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ไม่เพียงการสร้างค้าปลีกยุคใหม่ เราต้องการนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยเปลี่ยนผ่านผู้ประกอบการสู่ดิจิทัล เรื่องนี้สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจลูกค้าเพื่อนำไปสู่การพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด”
โกลบอล ช้อปปิ้ง เฟสติวัล จัดขึ้นทุกปีในวันที่ 11 พ.ย. นับเป็นงานช้อปปิ้งออนไลน์ 24 ชั่วโมงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จากความร่วมมือระดับโลกในภาคธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งผู้บริโภค ผู้ค้าปลีก บริษัทโลจิสติกส์ สถาบันทางการเงิน ร้านค้าทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และศูนย์การค้า
แน่นอนว่างานปีนี้ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยมีมาด้วยโปรโมชั่นและข้อเสนอจากกว่า 140,000 แบรนด์ สินค้าจำหน่ายจำนวนกว่า 15 ล้านรายการ อาลีบาบามองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะอย่างมากสำหรับการออกมาจับจ่ายก่อนเทศกาลวันหยุด ทั้งตลาดยิ่งมีความน่าสนใจจากที่ผู้เล่นรายอื่นๆ ออกมาจัดกิจกรรมลักษณะเดียวกัน
สู่“ค้าปลีกยุคใหม่”
“นายคริส ถัง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด(ซีเอ็มโอ) อาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจของอาลีบาบาขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์ “ค้าปลีกยุคใหม่” หรือ “New Retail” เพื่อสร้างนิยามใหม่ให้แก่การค้าปลีก ด้วยการเชื่อมต่อการซื้อขายระหว่างออนไลน์และออฟไลน์เป็นหนึ่งเดียวอย่างไร้รอยต่อ
ทั้งนี้จุดยืนบริษัทไม่ใช่แค่ “อีคอมเมิร์ซ คอมพานี” แต่ยังเป็น “ดาต้า เซอร์วิส คอมพานี” ที่มุ่งนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยธุรกิจค้าปลีกเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล สร้างการเติบโต และเพิ่มฐานลูกค้า
โดยการนำดาต้าที่เก็บได้แบบเรียลไทม์จากภายในอีโคซิสเต็มส์มาประมวลผล พร้อมพัฒนามิติใหม่ๆ ด้านการบริการ การตลาด การดูแลลูกค้า การพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า รวมถึงการสร้างความภักดีต่อแบรนด์
“การช้อปปิ้งทุกวันนี้ไม่ใช่แค่เพียงการซื้อสินค้า แต่คือส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ความบันเทิง การแสดงออกต่อคนรัก ครอบครัว”
สำหรับกุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ “ดิจิทัล บิซิเนส ทรานส์ฟอร์เมชั่น” ประกอบด้วย การบริหารจัดการลูกค้าดิจิทัล, ร้านค้าดิจิทัล, คำสั่งซื้อดิจิทัล, เพย์เมนท์ดิจิทัล และระบบสมาชิกดิจิทัล
ปัจจุบัน อีคอมเมิร์ซจีนคิดเป็น 18% ของธุรกิจค้าปลีกโดยรวม ด้วยแนวคิดดังกล่าวอาลีบาบาจะผสานศักยภาพเชิงข้อมูลและเทคโนโลยีทั้งหมด เพื่อทำงานร่วมกันและปรับโฉม 82% ของร้านค้าแบบดั้งเดิม
เป้าหมายไม่ใช่เพียงการรุกเข้าสู่ตลาดร้านค้าแบบดั้งเดิม แต่เพื่อช่วยเจ้าของกิจการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งรวมไปถึงการสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้า การบริหารจัดการสินค้าคงคลังและพื้นที่ค้าปลีก
สำหรับกลยุทธ์ระดับโลก ให้ความสำคัญกับ 5 โครงการประกอบด้วย การพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อระดับโลก การขายระดับโลก เพย์เมนท์ระดับโลก โลจิสติกส์ระดับโลก และการท่องเที่ยวระดับโลก โดยจะนำความสำเร็จที่ได้จากตลาดจีนไปช่วยพัฒนาอีคอมเมิร์ซอีโคซิสเต็มส์ในประเทศอื่นๆ รวมไปถึงยกระดับศักยภาพเอสเอ็มอี
บริษัทตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 10 ปี จะเข้าถึงผู้บริโภคทั่วโลกจำนวนไม่น้อยกว่า 2 พันล้านคน จัดส่งสินค้าได้ภายใน 72 ชั่วโมง สนับสนุนเอสเอ็มอีอย่างน้อย 10 ล้านราย
ดึง“เอไอ-เออาร์” เสริมแกร่ง
อาลีบาบาเผยว่า มหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ทำให้มีการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างมหาศาล ส่งผลให้ระบบของอาลีบาบาต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่แข็งแกร่ง รองรับงานได้หลายรูปแบบ นับตั้งแต่การเปิดดูสินค้า สั่งสินค้า ชำระเงิน ไปจนถึงจัดส่งสินค้า ด้วยเหตุนี้เอง อาลีบาบาจึงเลือกใช้เทคโนโลยีคลาวด์และเอไอมาสนับสนุน
ปีนี้ยังเป็นเวทีที่บริษัทได้แสดงถึงศักยภาพในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี “เอไอ (Artificial Intelligence)” และ “ออคเมนเต็ด เรียลิตี้ (เออาร์)” เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น มอบประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าให้กับผู้บริโภค ทั้งอาลีบาบายังได้พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของตนเองขึ้นมารองรับการจัดมหกรรมช้อปปิ้งขนาดมหึมานี้ด้วย
ตัวอย่างเช่น การเสริมศักยภาพผู้ประกอบการด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะ “แชทบอท” เพื่อการบริการลูกค้า บอทดังกล่าวสามารถตอบคำถามจากลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยบอทตัวนี้มีชื่อว่า “Store Xiaomi” ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นจากฐานข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จำนวนมาก สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ปัจจุบันนี้ มีร้านค้าบนแพลตฟอร์มเถาเป่าและทีมอลล์ในกว่า 50 ประเภทสินค้าที่เลือกใช้บริการ
นอกจากนี้ พัฒนาแพลตฟอร์มเอไอเพื่อการตลาดชื่อว่า “Lu Ban” ที่จะเข้ามาช่วยผู้ประกอบการในการออกแบบแบนเนอร์โฆษณาออนไลน์แบบอัตโนมัติ ด้วยเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านข้อมูล รวมถึงค้นหาข้อมูลเชิงลึกทั้งในรูปแบบข้อความและภาพ จึงมีความสามารถออกแบบแบนเนอร์ออกมานับล้านดีไซน์ ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 8,000 แบนเนอร์ต่อวินาที
เทคโนโลยี “ออคเมนเต็ด เรียลิตี้ (เออาร์)” เข้ามาเพิ่มสีสันใหม่ๆ เช่น เกมจับแมว “Catch the Cat” ของทีมอลล์ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถลุ้นคว้าคูปองส่วนลดและของรางวัลสุดพิเศษ เพียงเล่นเกมจับมาสคอตแมวแบบเสมือนจริงในแอพเถาเป่าและทีมอลล์ในบริเวณรอบๆ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ปีนี้มีแบรนด์กว่า 65 รายที่เข้าร่วม
การนำไปใช้ที่น่าสนใจอื่นๆ ยังมี “Tmall Smart Choice” ระบบที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์ได้ว่าสินค้าชิ้นใดจะกลายเป็นสินค้าขายดีได้ในอนาคต “Fashion AI” แพลตฟอร์มเอไอที่ทำการมิกซ์แอนด์แมทช์สินค้าแฟชั่นให้กับผู้บริโภคได้อย่างลงตัว รวมไปถึง “ห้องลองเสื้อเสมือนจริง” บนแอพเถาเป่าและทีมอลล์
อีกหนึ่งโมเดลต้นแบบ “เหอหม่า (Hema)” ร้านค้าแนวทดลอง ซูเปอร์มาร์เก็ตแนวใหม่ที่ผสมผสานประสบการณ์การช้อปทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ปัจจุบันมี 20 สาขาทั่วประเทศจีน โดย 13 สาขาตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ 3 สาขาในปักกิ่ง หนิงโป หังโจว กุ้ยหยาง และเซินเจิ้น
ย้อนความสำเร็จปี2559
สำหรับปี 2559 การซื้อขายผ่านอาลีเพย์มีมูลค่ากว่า 1.78 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ถึง 32% มูลค่าการซื้อขายบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ผ่านอาลีเพย์ 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็น 82% ของมูลค่าการซื้อขายโดยรวม โดยเพิ่มจากปี 2558 ราว 69%
เป็นสถิติที่สูงกว่ามูลค่าการซื้อขายจากเทศกาลช้อปปิ้งใหญ่ในสหรัฐ โดยมีขนาดใหญ่กว่างาน “อเมซอน ไพรม์ เดย์“ ถึง 18 เท่า และใหญ่กว่างาน “แบล็ค ฟรายเดย์” และ “ไซเบอร์ มันเดย์” รวมกันถึง 2.5 เท่า
ไฮไลต์ ยอดขาย 5 นาทีแรกทำสถิติเกิน 1 พันล้านดอลลาร์ ก่อนจะทะยานสู่ 5.2 พันล้านดอลลาร์ภายใน 1 ชั่วโมง
ครั้งนั้น อาลีบาบา คลาวด์ ดำเนินการคำสั่งซื้อสูงที่สุด 175,000 ครั้งต่อวินาที อาลีเพย์ ดำเนินการชำระเงินมากกว่า 1 พันล้านครั้ง และมากที่สุดถึง 120,000 ครั้งต่อวินาที เครือข่ายไช่เหนี่ยว จัดส่งสินค้ามากกว่า 657 ล้านครั้ง
ส่วนไฮไลท์ระดับโลก พบว่า มีการซื้อขายข้ามประเทศ ครอบคลุมทั้งหมด 235 ประเทศทั่วโลก 37% ของผู้ซื้อทั้งหมด ซื้อสินค้าจากแบรนด์และผู้ขายระดับโลก
ขณะที่ ประเทศที่ขายสินค้าให้แก่ประเทศจีนเป็นมูลค่าสูงที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และเยอรมนี แบรนด์จากสหรัฐอเมริกาที่ทำมูลค่ายอดขายสูงที่สุด ได้แก่ แอ๊ปเปิ้ล, ไนกี้, นิว บาลานซ์, เพลย์บอย และสเก็ตช์เชอร์ส
แบรนด์จากยุโรปที่ทำมูลค่ายอดขายสูงที่สุด ได้แก่ ซีเมนส์, ฟิลิปส์, อาดีดาส, แจ็ค โจนส์ และโอนลี่