เจ้าของไร่มันสำปะหลัง รับสารภาพเป็นคนยิงกระทิงยักษ์วังน้ำเขียวตาย อ้างป้องกันตัวเพราะกระทิงวิ่งชน
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีมีกระทิงเพศผู้ตัวใหญ่ อายุประมาณ 10-12 ปี น้ำหนักกว่า 1,200 กิโลกรัม ถูกยิงด้วยปืนลูกซองเสียชีวิต อยู่กลางไร่มันสำปะหลัง บริเวณด้านหลังวัดป่าสังฆทานบ้านท่าวังไทร หมู่ 2 ตำบลวังหมี อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เมื่อคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา
ล่าสุดวันนี้ (11 พ.ย. 60) พ.ต.อ.มีชัย กำเนิดพรม ผกก.สภ.วังน้ำเขียวเปิดเผยว่า ตำรวจได้เค้นสอบนายวา ชุ่มพรหมราช อายุ 44 ปี เจ้าของไร่มันสำปะหลังที่พบกระทิงเพศผู้น้ำหนัก 1 ตัน นอนตายอยู่ หลังจากพบพิรุธหลายอย่างโดยเฉพาะบาดแผลที่บริเวณใบหน้าและหลัง โดยครั้งแรกนายวาฯอ้างว่าขี่จักรยานยนต์ล้มและปฏิเสธไม่รู้เรื่องการตายของกระทิง แต่ในที่สุดเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา นายวาฯก็รับสารภาพว่าเป็นคนใช้ปืนลูกซองยิงกระทิงตัวดังกล่าวจริง
โดยคืนเกิดเหตุขณะที่นายวาฯกำลังจุดไฟเพื่อไล่สัตว์ป่าที่มักจะลงมาบุกกินมันสำปะหลังที่ปลูกไว้เสียหายหลายครั้ง ขณะที่นายวาฯกำลังนำกิ่งไม้มากองรวมกันเตรียมจะจุดไฟนายวาฯอ้างว่ากระทิงตัวดังกล่าวได้โผล่ออกจากไร่มันสำปะหลังพุ่งเข้าชนและพยายามเข้าทำร้าย นายวาฯจึงใช้ปืนลูกซองยาวยิงจนกระทิงล้มลง หลังเกิดเหตุนายวาฯได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและได้กลับไปพักที่บ้าน หลังจากนั้นได้มีสื่อมวลชนเสนอข่าวกระทิงถูกยิงตาย นายวาฯกลัวความผิดรุนแรงจึงนำอาวุธปืนลูกซองยาวที่ใช้ก่อเหตุไปซุกซ่อนไว้ในไร่มันสำปะหลังและปฏิเสธมาตลอด จนตำรวจได้นำตัวมาสอบปากคำและรับสารภาพ โดยปฏิเสธว่าไม่มีเจตนาฆ่ากระทิงเป็นการป้องกันตัว
หลังจากนั้นตำรวจได้นำตัวนายวาฯไปค้นหาอาวุธปืนลูกซองของกลางที่ซุกซ่อนไว้ในไร่มันสำปะหลังและแจ้งข้อหาล่าและพยายามล่าสัตว์ป่าสงวน มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมปล่อยตัวไปชั่วคราว โดยในวันนี้ 11 พ.ย. ตำรวจจะนำตัวนายวาฯไปทำแผนและหาหลักฐานเพิ่มเติมในที่เกิดเหตุจากนั้นจะนำตัวนายวาฯไปขอขมา หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เจ้าอาวาสวัดป่าทรัพย์ทวี อ.วังน้ำเขียว ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาและอนุรักษ์กระทิงและป่าไม้วังน้ำเขียวมาตลอด
นายบริพัตร สุนทร ผู้ประสานงานกลุ่มอนุรักษ์เขาแผงม้า อำเภอวังน้ำเขียวกล่าวว่าทุกครั้งที่เกิดปัญหากระทิงถูกฆ่ายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ทั้งๆ ที่การฆ่ากระทิงอยู่ห่างจากเขตอนุรักษ์ป่าเพียงเล็กน้อยและเป็นแนวเขตที่ติดกับพื้นที่แปลงเกษตรของชาวบ้าน และสัตว์ป่าออกมาหากินนอกพื้นที่ จนเกิดความเสียหาย หรือสูญเสีย ว่าแต่ละครั้งจะเป็นฝ่ายไหน ชาวบ้านทำเกษตร ปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว หรือทำสวนไม้ผล ไม้ป่าเศรษฐกิจ ก็เป็นพื้นที่ที่สัตว์ออกไปใช้ประโยชน์ บางรายก็หาวิธีในการป้องกัน ไล่สัตว์ ไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ตน บางรายก็ไม่ได้มีการป้องกัน
หลังเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มักมีการประชุมเพื่อหาแนวทางการแก้ไข แต่ก็น่าแปลกที่ผลจบอยู่ที่การประชุม ไม่ค่อยนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง อีกทั้งมาตรการในการแก้ไข เยอะแยะมากมาย ซึ่งในหลักการก็เห็นด้วย แต่แล้วก็เกิดปัญหาซ้ำซากขึ้นมาอีก พบว่า การที่สัตว์ป่า(กระทิง) ที่ออกหากินนอกพื้นที่อนุรักษ์ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมานานพอสมควร การออกมาหากินของสัตว์ป่า ไม่ได้มีเพียงปัจจัยด้านอาหาร น้ำเท่านั้น พื้นที่ในการหากินก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สัตว์ต้องการ เช่น พื้นที่ขอบป่าที่รกร้าง ยังไม่มีการทำเกษตร ตามร่องคลองต่างๆ(มีเป็นหย่อมๆ) รวมถึงพื้นที่เกษตร ภายหลังที่เก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้ว จะมีพืชอาหารขึ้นหลากหลายชนิด เดิมกระทิงไม่กินข้าวโพด มันสำปะหลัง ถึงแม้ไม่กินชาวบ้านที่เป็นเจ้าของไร่ ก็ช่วยกันป้องกันไม่ให้สัตว์ออกไปเหยียบย่ำ ทำลายผลผลิตทางการเกษตร ต่อมาจึงพัฒนาการมากินพืชไร่แบบจริงๆ จังๆ มากขึ้นเกือบๆทุกระยะ ยกเว้นช่วงที่งอกขึ้นมาใหม่(มีการฉีดยาฆ่าหญ้า กระทิงได้กลิ่น)
สมัยก่อนฝูงกระทิง มีประชากรไม่มากนักแต่ก็มีการเพิ่มจำนวนขึ้น ด้วยการฟื้นฟูประชากรสัตว์ป่า ผ่านการฟื้นฟูป่า ที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัย พื้นที่มีความปลอดภัยจากการไล่ล่า จากไฟป่า รวมถึงมีแหล่งอาหารที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ประมาณ 90 ชนิด กระทิงเรียนรู้ การออกไปหากินในแปลงเกษตร แบบไป-กลับ ไปชั่วคราว อยู่เป็นฤดู และอยู่จริงๆ จังๆ มากขึ้นเรื่อยๆ และขยับออกไปไกลพื้นที่อนุรักษ์มากขึ้น บางฝูงห่างจากเขต 3-4 ตาจางกิโลเมตร เนื่องจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ไม่ได้มีสัตว์ป่าอยู่ชนิดเดียวอาศัยอยู่ พบว่ามีข้อมูลของ ช้างป่า กระทิง หมีฯ ออกมาหากินนอกพื้นที่อยู่เสมอ มาตรการที่เจ้าหน้าที่ทำคือการไปคอยไล่สัตว์ที่อยู่นอกเขตพื้นที่อนุรักษ์ให้กลับเข้ามา จึงไม่เพียงพอ เพราะสัตว์ป่าเหล่านั้น ออกมาหากินนอกพื้นที่ และตั้งรกราก อยู่นานแล้ว ถึงช่วยกันไล่ต้อนให้กลับเข้าพื้นที่ สุดท้ายก็จะถูกขับออกมาเพราะไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ อีกทั้งประชากรบางส่วน เกิดและเติบโตนอกพื้นที่อนุรักษ์
หากเราทำแบบเดิมๆ คงไม่ทันการเพราะสัตว์ป่าก็เรียนรู้อยู่ตลอด ชาวบ้านเองก็รับภาระความสูญเสียอยู่เรื่อยๆ การอยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้อไม่ใช่เพียงคำพูด แต่ต้องลงมือทำร่วมกัน สังคมคนเมืองได้ประโยชน์จากการที่ชุมชนท้องถิ่นร่วมกันอนุรักษ์ ก็ควรจะต้องสละบางส่วนมาช่วยเขาด้วยเช่นกัน