อีเลฟเว่นสตรีทโหมอีคอมเมิร์ซไทย

อีเลฟเว่นสตรีทโหมอีคอมเมิร์ซไทย

ลั่นขอสู้ไม่ถอย ไม่กังวลการเข้ามาของยักษ์อาลีบาบา-เจดีดอทคอม เล็งผนึกพันธมิตรโหมหนักการตลาด พร้อมโปรโมชั่นลดราคาสินค้าแบบจัดเต็ม ชี้ตลาดไทยโอกาสเติบโตสูง การเข้าถึงโมบายหนุนใช้งานเพิ่ม

นายฮง โชล จอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อีเลฟเว่นสตรีท ประเทศไทย ผู้ให้บริการออนไลน์มาร์เก็ตเพลสชั้นนำจากเกาหลีใต้ กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกกังวลกับการมาของผู้เล่นรายใหญ่จากประเทศจีนอย่างอาลีบาบาและเจดีดอทคอมมากนัก กลับกันมองว่ายิ่งเข้ามาช่วยให้ตลาดมีความน่าสนใจ อีคอมเมิร์ซไทยเติบโตได้เร็วขึ้น

"การแข่งขันทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้านผู้ให้บริการแต่ละรายพยายามพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีมากกว่าเดิม บริษัทคาดว่าจากปัจจุบันอีคอมเมิร์ซไทยมีสัดส่วนราว 1.2% ของภาพรวมค้าปลีก อีก 5 ปีมีโอกาสเพิ่มไปถึง 7%”

สำหรับปัจจัยบวกมาจากการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือ รวมถึงการใช้เวลาอยู่บนโมบายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมากขึ้น ในภาพรวมตลาดจะโตได้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของอีโคซิสเต็มส์ ทั้งเพย์เมนท์ โลจิสติกส์ และที่เกี่ยวข้อง  ส่วนความกังวลหลักๆ เป็นเรื่องความเชื่อมั่นการซื้อสินค้าออนไลน์

เขากล่าวว่า กลยุทธ์การสร้างจุดต่างจะใช้จุดแข็งด้านสินค้า ความรู้ความเชี่ยวชาญ แนวคิด และเทคโนโลยี พร้อมผนึกกำลังคู่ค้าร่วมกันสร้างการเติบโต ขณะที่อีกหนึ่งจุดต่างไม่ได้มุ่งนำสินค้าจากเกาหลีเข้ามาจำหน่าย แต่เน้นผลักดันให้สินค้าไทยออกไปขายต่างประเทศ 

อีเลฟเว่นสตรีทเผยด้วยว่า แต่ละปีวางแผนใช้งบการตลาดในไทย 1,000 ล้านบาท สำหรับการโฆษณาทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ รวมถึงโปรโมชั่นลดราคาสินค้าตลอดทั้งปี ด้านการทำรายได้มาจากส่วนแบ่งการขายสินค้าโดยเก็บที่ 5-10% การโฆษณาจากแบรนด์ และดอกเบี้ยที่มาจากเงินหมุนเวียนในระบบ แผนงานปีหน้าเตรียมเพิ่มสินค้าใหม่ๆ โดยสั่งเข้ามาขายเอง พร้อมเพิ่มโฟกัสการให้บริการด้านฟูลฟิลล์เมนท์มากขึ้นด้วย

ล่าสุด จัดแคมเปญใหญ่แห่งปี “11.11 Mega Sale” ลดกระหน่ำตลอดเดือน 11 แจกคูปองทุกวันรวมกว่า 400,000 ใบ มูลค่าส่วนลดรวมกว่า 72 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 1-30 พ.ย.2560 โดยคูปองลดสูงสุด 90% พร้อมกิจกรรมให้นักช้อปสามารถร่วมสนุกได้ทุกวันในหลากหลายช่องทาง ทั้งเว็บไซต์ โมบายแอพพลิเคชั่น และโซเชียลมีเดีย

ครั้งนี้มีพันธมิตรกว่า 50 แบรนด์ดัง ร่วมมอบสินค้าราคาพิเศษ ส่วนลด และสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟ บริษัทตั้งเป้าไว้ว่าตลอดเดือนจะมีทรานแซคชั่นต่อวันไม่น้อยกว่า 5,000 ครั้ง

ปัจจุบัน เฉลี่ยต่อหนึ่งคำสั่งซื้อมีมูลค่าราว 1,400 บาท รั้งอันดับ 2 รองจากเกาหลีใต้ แนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าปีหน้ามูลค่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว สินค้าที่ทำยอดขายได้สูงที่สุด 3 อันดับแรกคือ อิเล็กทรอนิกส์ แม่และเด็ก และความงามและสุขภาพตามลำดับ

บริษัทตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2560 จะมีผู้ค้าในไทยราว 2 หมื่นราย จากนั้นอีก 3 ปี หรือภายในปี 2563 เพิ่มไปถึง 1.5 แสนราย ด้านผู้ใช้งาน 6.9 แสนราย สินค้าจำหน่าย 6.7 ล้านรายการ ปีหน้าเพิ่มเป็น 10 ล้านรายการ นอกจากนั้นจากปีนี้ที่มูลค่าเงินหมุนเวียนในระบบ 50 ล้านดอลลาร์ ปีหน้าเพิ่มเป็นมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ 

นอกจากนี้คงเป้าหมายที่ภายใน 4 ปีหวังมีส่วนแบ่งการตลาด 40% พร้อมครองอันดับ 1 ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย และคืนทุนได้ภายใน 5 ปีจากนี้ 

พร้อมระบุว่า นโยบายการเรียกเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซของรัฐบาลย่อมส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมแน่นอน แต่เชื่อว่าตลาดจะฟื้นกลับมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ทางที่ดีน่าจะเลื่อนออกไปก่อนและรอให้สัดส่วนอีคอมเมิร์ซเพิ่มไปถึง 5% จะเหมาะสมกว่า