ดาวโจนส์ดีดตัวทำนิวไฮ

ดาวโจนส์ดีดตัวทำนิวไฮ

ขณะนักลงทุนเกาะติดผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน,ถ้อยแถลงนาง"เยลเลน"

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันอังคาร (7พ.ย.)ตามเวลาท้องถิ่น ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 0.04% ปิดที่  23,557.23  จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวร่วงลง 0.02% ปิดที่ 2,590.64 จุด และดัชนีแนสแด็ก ร่วง 0.27 % ปิดที่ 6,767.78 จุด

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธุรกิจรักษาสุขภาพพุ่งขึ้นนำตลาด  ขณะที่หุ้นดาวดูปองท์ทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นมากกว่า 15% ในปีนี้ และทะยานขึ้น 20% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย.ปีที่แล้ว

ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง, ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สดใส และการปฏิรูปภาษีของสหรัฐ ต่างก็เป็นปัจจัยที่ผลักดันตลาดหุ้นวอลล์สตรีทนับตั้งแต่ปธน.ทรัมป์ประสบชัยชนะในการเลือกตั้ง

เมื่อวานนี้ ปธน.ทรัมป์อ้างว่า เขาเป็นสาเหตุสำคัญที่ช่วยให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยวันพุธ (8 พ.ย.)ตามเวลาท้องถิ่น จะเป็นวันครบรอบ 1 ปี นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีที่แล้ว

ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ระหว่างการเดินทางเยือนเอเชียว่า เขาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปธน.ทรัมป์ อ้างว่าการที่เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งช่วยให้ตลาดหุ้นทะยานขึ้น โดยเมื่อเดือนที่แล้ว เขาได้ทวีตข้อความว่า “มูลค่าตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 5.2 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ปีที่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 25%”

ขณะนี้ บริษัทเกือบ 85% ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 แล้ว ซึ่งบริษัท 74% ในจำนวนดังกล่าว สามารถรายงานตัวเลขกำไรที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ

ขณะเดียวกัน นักลงทุนเกาะติดข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน