สคร.คาดเปิดขาย 'ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์' ปีหน้า

สคร.คาดเปิดขาย 'ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์' ปีหน้า

"สคร." คาดเปิดขาย "กองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์" ทันช่วงต้นปีหน้าแน่นอน ชี้ความเชื่อมั่นนักลงทุนฟื้นตัวดีขึ้น หลังเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. เปิดเผยในงาน "Global and Thailand Economic Outlook 2018" ถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ หรือ TFF ว่า ขณะนี้อัยการอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจร่างส่วนแบ่งผลตอบแทน หรือ RTA ที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ กทพ. เสนอ ซึ่งมีมูลค่ากองทุนอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท โดยยอมรับว่า ในขั้นตอนดังกล่าวจะมีระยะเวลาดำเนินการ เนื่องจากอัยการจะต้องพิจารณากฎหมายต่าง ๆอย่างรอบคอบ แต่ยืนยันว่าทุกขั้นตอนจะแล้วเสร็จ และ สามารถจดแจ้งคำเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้ในปีนี้อย่างแน่นอนเพื่อให้ทันการเปิดขายในช่วงต้นปี 61

"ตอนนี้กำลังรอทางศาลพิจารณา แต่คาดว่าสิ้นปีนี้จะยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต.ได้ ก่อนจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนได้ในไตรมาส 1/61 ซึ่งจะล้อไปกับการที่ กทพ.จะใช้เงินเพื่อลงทุนตามแผน โดยเฉพาะโครงการทางพิเศษพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก วงเงินลงทุน 3.04 หมื่นล้านบาท และ โครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือตอน N2 และ E–W corridor ด้านตะวันออก วงเงินลงทุน 1.43 หมื่นล้านบาท ที่จะเซ็นสัญญาก่อสร้างได้ในเดือน มี.ค. 61 และต้องใช้เงินจากกองทุนไทนแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์"นายเอกนิติ กล่าว

สำหรับความเชื่อมั่นของนักลงทุนฟื้นตัวดีขึ้นสะท้อนจากเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/60 ที่ขยายตัว 3.7% ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี และ โครงสร้างพื้นฐานมีการลงทุนต่อเนื่อง

โดยปีนี้มีโครงการภายใต้มาตรการ PPP Fast Track ทั้งสิ้น 11 โครงการ มูลค่าวงเงินลงทุนรวม 934,200 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่ดำเนินการตามมาตรการดังกล่างแล้วเสร็จ 5 โครงการ มูลค่าวงเงินลงทุนรวม 335,432 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และ โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ซึ่งได้ลงนามในสัญญาแล้ว

"ความเชื่อมั่นฟื้นสะท้อนได้ทั้งจากตลาดหุ้นที่ดัชนีแตะ 1,700 จุด การจัดอันดับของธนาคารโลกที่ปรับอันดับการยากง่ายการทำธุรกิจในไทยดีขึ้นมาเป็นอันดับที่ 26 จากเดิมที่ 46 และ การลงทุนของรัฐ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเม็ดเงินจะเข้ามามากขึ้นในปีหน้าจากโครงการ PPP ซึ่งหากเราไม่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเลยเราก็จะกินแต่บุญเก่าเท่านั้น"นายเอกนิติ กล่าว