เจดีดอทคอมชี้ไทยน่าลงทุน

พร้อมตอบข้อซักถามผู้บริหารระดับสูงจากแวดวงการเงินการธนาคาร ธุรกิจด้านเทคโนโลยี และสตาร์ทอัพ รวมกว่า 40 คนโดยกล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนสำหรับผู้ประกอบการจีน หากมีแผนขยายตลาดออกนอกประเทศก็มักจะเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ อยู่เสมอ

ประเมินขณะนี้ อีคอมเมิร์ซไทยยังเป็นช่วงเริ่มต้นด้วยสัดส่วนน้อยกว่า 5% ต่างกับจีนที่ขณะนี้ทะลุ 15% ไปแล้ว เจดีดอทคอมจึงหวังว่าจะสามารถเข้ามาบุกเบิกธุรกิจ และเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ส่วนว่าจะต้องพบกับความยากหรือง่ายนั้นยังตอบไม่ได้ เพราะเป็นเพียงก้าวแรก แต่บอกได้ว่ามีความมุ่งมั่นอย่างมาก

ต่อคำถามที่ว่าโมเดลธุรกิจไทยจะมีแบบใดบ้าง เขากล่าวว่า จะมีทั้งที่นำสินค้าจีนเข้ามาจำหน่ายโดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่คุณภาพไม่ต่างกับผู้ผลิตชั้นนำจากเกาหลี อีกทางหนึ่งเปิดโอกาสให้สินค้าจากประเทศไทยนำสินค้าออกไปขายต่างประเทศเช่น ผ้าไหม ไม้แกะสลัก

หลิวย้ำว่า การมาครั้งนี้ต้องการที่จะเป็น “เพื่อน” ไม่ใช่ “คู่แข่ง” หรือ “ศัตรู” ขณะเดียวกันมองหา เปิดกว้างที่จะทำธุรกิจกับพันธมิตรระดับท้องถิ่นทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโลจิสติกส์ การเงิน เพย์เมนท์ สตาร์ทอัพ และที่นอกเหนือไปจากธุรกิจหลักของตนเอง

ที่ผ่านมา แนวทางการทำธุรกิจของบริษัท หากมีการร้องขอความช่วยเหลือจากคู่ค้า ก็พร้อมที่จะสนับสนุนทรัพยากรที่มีอย่างเต็มที่

หนุนใช้ “เอไอ” เสริมแกร่ง

เขากล่าวว่า ด้านกลยุทธ์การลงทุนในสตาร์ทอัพ เจดีได้ลงทุนกับการพัฒนาอีโคซิสเต็มสตาร์ทอัพทั่วโลกมาต่อเนื่อง ส่วนไทยมองว่าเป็นตลาดที่มีโอกาสสูง และยืนยันว่าพร้อมพิจารณาและจะเข้ามาลงทุนอย่างมหาศาล

นอกจากนี้ ขอเสนอตัวนำความรู้ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี “เอไอ” มาช่วยยกระดับธุรกิจในประเทศไทย โดยผู้ประกอบการแทบไม่มีค่าใช้จ่ายหรือจ่ายน้อยมาก มองว่าเป็นการทำงานร่วมกันและได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย

พร้อมกับแนะว่า การเริ่มต้นธุรกิจต้องพบกับความยากลำบากอยู่แล้ว ตนเองเริ่มจากมีพนักงานเพียง 2 คนซึ่งรวมตัวเองด้วย โดยเวลา 4 ปีของการเริ่มต้นธุรกิจต้องนอนที่ทำงาน และตื่นขึ้นมาทำงานทุกๆ 2 ชั่วโมง

“ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมใดก็ตามการประสบความสำเร็จได้ต้องมีความเข้าใจลูกค้า สามารถตอบโจทย์สิ่งที่พบวกเขาต้องการ เขาเองเมื่อเริ่มต้นไม่มีทั้งเงินโฆษณาและประชาสัมพันธ์ แต้สร้างความประทับใจและทำให้เกิดการบอกต่อระหว่างเพื่อน ครอบครัว คนรู้จัก”

ชูเทคโนสร้างจุดต่าง

การมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ “ริชาร์ด หลิว” ยังได้ขึ้นพูดในงานทอล์คโชว์ “Richard Liu in Bangkok with Suthichai Yoon” โดยเขาเผยว่า แนวทางธุรกิจของเจดีดอมคอมให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า โลจิสติกส์ และการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ที่ผ่านมาต่อต้านการขายสินค้าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์มาโดยตลอด

สำหรับการเลือกมาลงทุนในประเทศไทย มีมุมมองว่า เป็นประเทศที่มีศักยภาพและเอกลักษณ์ ผู้บริโภคมีกำลังซื้ออยู่จำนวนมาก ทั้งมีปัจจัยบวกการผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และดิจิทัลไทยแลนด์โดยรัฐบาล ขณะที่การเลือกเครือเซ็นทรัลเป็นคู่ค้าเนื่องจากเห็นว่า มีแบรนด์ที่แข็งแรง ความพร้อม ต้องการขยายธุรกิจไปทั้งออนไลน์และออฟไลน์

เจดีดอทคอม วางไทยเป็นศูนย์กลางสำหรับการทำตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากนี้มุ่งนำความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ เอไอ โดรน หุ่นยนต์ส่งสินค้า คลังสินค้าไร้แรงงานมนุษย์ รวมถึงระบบค้นหาและแนะนำอัตโนมัติ เทคโนโลยีประมวลผลคลาวด์ เข้ามาพัฒนาตลาด ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ เกษตรกร เช่น สร้างแบรนด์ ลดต้นทุนการผลิต ทำให้สามารถทำรายได้ได้มากขึ้น

เบื้องต้นยังอยู่ระหว่างการขอไลเซ่น เพื่อทดสอบระบบโดรนในบางพื้นที่ รวมถึงปี 2561 จะนำเจดีโรบอทเข้ามาในไทยด้วย

“ผมมั่นใจว่าเจดีดอทคอมเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยี และด้วยจุดนี้จะทำให้สามารถขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดได้”

ทำงานหนัก อย่ายอมแพ้

เขาให้คำแนะนำกับเยาวชนไทยว่า การประสความสำเร็จไม่ควรพยายามเป็นคนอื่น ให้เป็นตัวเอง ตนเองไม่เคยอยากเป็นเหมือนใคร แค่อยากประสบความสำเร็จด้วยเส้นทางของตนเอง

“หากต้องการประสบความสำเร็จ ผมของแนะนำว่าต้องมี 2 อย่างคือ ให้ทำงานหนัก และอย่ายอมแพ้ นอกจากนั้นอย่าคิดถึงเรื่องเงินมากเกินไป”

บริษัทตั้งเป้าไว้ว่า จากปัจจุบันที่เป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตจากประเทศจีนรายแรกที่สามารถขึ้นไปอยู่ใน “Fortune Global 500 list” ได้ หวังว่าจะไต่ขึ้นไปด้วยถึงอันดับท็อป 50 ภายใน 5 ปีจากนี้

ส่วนเป้าหมายส่วนตัว ต้องการออกไปขยายธุรกิจในทุกๆ ประเทศทั่วโลก และเมื่อถึงจุดหนึ่งต้องการเกษียณและออกไปสนับสนุนด้านการศึกษา